4.28.2011

3 วิธี รักษาความหวานชื่นในชีวิตคู่



3 วิธี รักษาความหวานชื่นในชีวิตคู่

ความรัก ย่อมมาพร้อมกับความหวานชื่น แต่จะให้มันอยู่กับเราไปนาน ๆ ต้องทำไงดี มีเคล็ดลับความหวานชื่นให้อยู่กับเราไปนาน ๆ มาฝากกันคะ

1. นัดเดตกับคู่ของคุณอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างน้อย ทำให้เป็นกิจวัตร มันเป็นการหาวิธีที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป้นมากของชีวิตคู่

2. อย่าปล่อยให้การสื่อสารในเรื่องปกติธรรมดา มาแทนที่การคุยกันแบบคู่รัก หาเวลาที่จะคุยกันถึงเป้าหมายในชีวิต ชีวิตในปัจจุบัน ความฝัน สิ่งที่คุณมีความสุขกับมัน สิ่งที่คุณอยากจะทำ ฯลฯ

3. ลืมวันวาเลนไทน์ไปได้เลย เนื่องจากมันทำให้คนเราคิดจะโรแมนติกเฉพาะโอกาสพิเศษ แทนการทำเช่นนั้น แสดงความรักต่อกันในวันใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอโอกาสพิเศษ

วิธีง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ "ความรัก" ของคุณทั้งคู่ก็หวานหยดจนใคร ๆ ต่างพากันอิจฉาเลยทีเดียว ^___^

ไม่พูดว่ารัก ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก



ไม่พูดว่ารัก ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก

"พูดไม่เก่ง" ไม่ได้หมายความว่า "พูดไม่ได้" ดังนั้น การสงวนถ้อยคำนั่นคงมีเหตุผลที่อยู่ในใจ อาจเป็นเหตุผลส่วนตัว หรือเพราะว่าเขามีบางอย่างที่เป็นทางออกที่ดีกว่า จริงอยู่ถ้อยคำหวานหู ใคร ๆ ก็นิยมชมชอบ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถนักก็ทำได้นี่

ดังนั้น ถ้าเขาเลือกที่จะเป็น "นักทำ" มากกว่า "นักพูด" จะไม่ดีกว่าหรือ อะไรจะสัมผัสได้มากกว่า อาจจะตอบยากนิด แต่ถ้าสัมผัสกับเนื้อในของมันจริง ๆ แล้ว ตอบแบบไม่ โกง หัวใจตัวเอง ก็จะรู้ว่าสัมผัสไหน ที่จะยืนยันความสัมพันธ์ได้ ยาวนาน กว่ากัน

เพศชาย หยาบ – อาจจริงอยู่
เพศชาย ไม่ละเอียดอ่อน – อาจจริงอยู่

แต่ที่เอ่ยปากฝากคำหวานคำไม่เก่ง ไม่ได้เกิดจากหัวใจของเขาแห้งแล้งเสียหน่อย อาจเป็นเพราะธรรมชาติ ที่มอบสัญชาติญาณความเป็นผู้ชายมาให้มากไปหน่อย การเอ่ยอะไรที่ดูจะลื่นหูแบบนี้สักที มันก็เลยดูจะยากเย็นเสียเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน หรือหมวกที่เขาสวมอยู่ ทำให้ถ้อยคำที่ใครสักคนอยากฟังให้ชื่นหู โอกาสที่จะเล็ดลอดผ่านไรฟัน แทบเหมือนถูกปิดประตูลงกลอน มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดจากความต่าง และความหลากหลายมาผสมปนเปกัน ดังนั้น จะให้คนหนึ่งทำเหมือนกับอีกคน... คงเป็นไปไม่ได้

ลายมือยังไม่มีใครเหมือนใคร ดังนั้น บรรทัดฐานใด ๆ คงจะยกขึ้นมาวัดเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งเรื่องสำคัญต่อความรู้สึกแบบนี้ย่อม สไตล์ใครสไตล์มัน นักมวยยังมีหมัดเด็ด แต่คงต้องรอโอกาสให้เหมาะสักหน่อย เจ้าตัวถึงจะเลือกปล่อยหมักสำคัญนั้น จำนวนยกก็มีกำหนด เขาไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป จนระฆังยกสุดท้ายตีเสียก่อนหรอก เพียงแค่รอให้มั่นใจสักนิด ว่าหมัดสำคัญที่สุดนี้ปล่อยออกไปแล้วจะเข้าจุดโฟกัสที่สุด

นักมวยที่อ่อนประสบการณ์ มักนิยมใช้หมัดนี้อย่างสะเปะสะปะ สุดท้ายแล้วตัวเขาก็จะรู้เองว่า การขว้างหมัดอย่างไม่มีจุดหมายนั้น นอกจากเสียแรงแล้ว ยังเหนื่อยเปล่าอีกด้วย เพราะถ้าหากการเอ่ยคำหวานหูคำนี้บ่อย ๆ แล้วเข้าท่า มันคงไม่ต้องมีสัญลักษณ์แทนหัวใจ อย่างของขวัญในวันสำคัญ ของฝากจากแดนไกลยามต้องห่างไกลกัน หรือกระทั่งแหวนวงสวยในนิ้วนางข้างซ้าย ในวันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต หากคำ ๆ นั้นมี อานุภาพ พอ

ทุกอย่างล้วนวัดด้วย "การกระทำ" มากกว่า "คำพูด" ต่างหาก เราคงเคยเห็นตัวอย่างการแสดงความรักในหลาย ๆ รูปแบบ ที่ไม่ต้องพึ่งพาประโยคใด ๆ ออกจากริมฝีปากเลยมาบ้างไม่มากก็น้อย

ภาพคุณลุงจูงมือคุณป้า เข้าไปกินไอติมในร้านเล็ก ๆ น่ารักสักแห่ง คำพูดใด ๆ อาจไม่มีหลุดออกมาจากปากของสองผู้เฒ่าเลยก็ได้ ไม่ใช่เพราะพะวงกับของเย็นสีสวยตรงหน้า แต่หากคงไม่คำพูดใด ที่มีความหมายเท่ากับความผูกพันที่ร่วมสะสมกันมายาวนานต่างหาก

เพียงสายตาที่เข้าใจกันและกัน
เพียงเสียงช้อนกระทบแก้วไอติมขณะตัก
ก็คง น่าฟัง กว่าคำว่ารักครั้งไหนๆ ที่เคยพร่ำบอกกัน

คน "ไม่พูดคำรัก" ไม่ได้หมายความว่า "รักไม่เป็น" คน พูดคำรักไม่เก่งก็ไม่ได้หมายความว่าต่มความรักทำงานผิดปกติ ถ้าการประมูลหมายถึงการให้ราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำดี ต่อคนที่รักมากขึ้นเรื่อย ๆ กับการ พูดคำว่ารัก ที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้หญิงอยากจะได้แบบไหน ?

ท้ายสุด... ถ้าไม่เข้มแข็งกับต้นรักที่ช่วยกันปลูกมา คำหวานที่ว่าแน่แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ การหมั่นให้อาหารปลาก็เพราะอยากเห็นมันเติบโตและงดงาม สักวันหางปลาที่แกว่งไกว ครีบที่ว่ายแหวกสายน้ำ การพลิกตัวไปมาของมันทดแทนความสุขได้ดี แม้มันจะไม่เคยส่งเสียงมาให้ได้ยินสักครั้ง แต่เราก็เลือกที่จะให้อาหารมันต่อไป เพื่อที่จะเฝ้าดูมันเติบโตยิ่งขึ้นและงดงามมากขึ้น

ไม่พูดว่า รัก ไม่ได้หมายความว่า ไม่รัก

ดังนั้น คงไม่ผิดถ้าหากฉันจะไม่เหมือนคนอื่นเขา โดยการเลือกทำตามอย่างที่คิดอยู่เหมือนเดิม ด้วยการชูนิ้วมือขึ้นมา และหุบนิ้วกลางกับนิ้วนางลงไปแล้วยื่นให้เธอ เพราะมันก็ความหมายเดียวกับที่เธอรอคอยอยู่ไงคนดี

เหนื่อยกับรัก ก็ต้องหยุดพักกันบ้าง



เหนื่อยกับรัก ก็ต้องหยุดพักกันบ้าง

มันเป็นเรื่องธรรมดาของ "ความรัก" ที่มีขึ้นมีลง มีสุขสมหวัง มีทุกข์ทรมาน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รักกลายเป็นสีเทาอึมครึม อยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใครมีสักคนรู้สึกเกิดอาการ "เหนื่อย" กับ "ความรัก" ซะเหลือเกิน...

เหนื่อย...ที่เข้าใจไม่ตรงกัน
เหนื่อย...ที่ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิม ๆ
เหนื่อย...ที่ต้องวิ่งตามไปเรื่อย ๆ
เหนื่อย...ที่ต้องรอคอย
เหนื่อย...ที่ต้องเสียน้ำตา
เหนื่อย...ที่ต้องอภัยครั้งแล้วครั้งเล่า
เหนื่อย...ที่ต้องคาดหวัง ในสิ่งที่ไม่ได้ดังหวัง
เหนื่อย...ที่ต้องคอยเอาใจใส่
เหนื่อย...ที่ต้องแอบรัก
เหนื่อย...ที่ต้องรักคนมีเจ้าของ

ซึ่งจริง ๆ แล้วอาการ "เหนื่อย" กับ "ความรัก" มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องพบเจอ หากคิดจะมีความรัก (จริงไหม) เพราะมันคือประสบการณ์อย่างหนึ่งของชีวิต ถึงเราจะสามารถออกแบบความรักได้ และมันคงไม่มีความรักของใคร ที่จะสวยสมบูรณ์แบบอย่างที่วาดฝันไว้ การร้องไห้ เสียใจ เจ็บปวด สุข ยิ้ม หัวเราะ ฯลฯ คืออีกองค์ประกอบหนึ่งที่จะสร้างให้ "รัก" สมบูรณ์

แต่ถ้ารู้สึกว่า "เหน็ดเหนื่อย" เกินกว่าที่ "ใจ" จะรับไหว ก็ต้องมี "หยุด" ให้ "หัวใจ" ได้พักเหนื่อยกันบ้าง...

หยุด...เพื่อคิด คิดว่ามันคือความผูกพันหรือความรัก
หยุด...เพื่อถามใจตัวเอง
หยุด...เพื่อถามใจเขา
หยุด...เพื่อทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา
หยุด...เพื่อลองนึกดูว่าเรา "สุข" หรือ "ทุกข์" มากกว่ากัน
หยุด...เพื่อเว้นช่องว่างให้กันและกัน
หยุด...เพื่อให้เวลา "หัวใจ" ได้หายเหนื่อย

และหลังจาก "หยุด" ให้ "หัวใจ" ได้พักแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า "หัวใจ" ของคุณจะกลับมาแข็งแรงหรืออ่อนแอกว่าเดิม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเองเท่านั้น ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ตัดสินใจ อย่าลืมว่า "รักออกแบบได้" เสมอ หากคุณแข็งแรงพอ

4.27.2011

สุภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย



สุภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย
กงกำกงเกวียน
ใช้เป็นคำอุปมาหมายความว่า เวรสนองเวร, กรรมสนองกรรม, เช่น ทำแกเขาอย่างไร
ตนหรือลูกหลานก็อาจจะถูกทำในทำนองเดียวกันอย่างนั้นบ้าง เป็นกลกำกงเกวียน
กรวดน้ำคว่ำกะลา, กรวดน้ำคว่ำขัน
ตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
กระดังงาลนไฟ
หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจ
ผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน
กระดี่ได้น้ำ
ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการดีอกดีใจจนตัวสั่น เช่น เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
กระต่ายขาเดียว, กระต่ายสามขา
ยืนกรานไม่ยอมรับ
กระต่ายตื่นตูม
ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน
กระต่ายหมายจันทร์
ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า
กำขี้ดีกว่ากำตด
ได้บ้างดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
2
กินน้ำไต้ศอก
จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมล
ให้แก่เมียหลวง)
กาคาบพริก
ลักษณะคนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแดง
กินบนเรือน ขี้บนหลังคา
คนเนรคุณ
กินปูนร้อนท้อง
ทำอาการมีพิรุธเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
เกลือเป็นหนอน, ไส้เป็นหนอน
ญาติมิตร สามาภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้านคิดคดทรยศ
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน
ขนทรายเข้าวัด
หาประโยชน์ให้ส่วนรวม
ขมิ้นกับปูน
ชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน, ไม่ถูกกัน
ข่มเขาโคขืน
บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ เช่น จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์ให้กินหญ้าเรา
เหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
ขว้างงูไม่พ้นคอ
ทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัว ขวานผ่าซาก โผงผางไม่เกรงใจใคร (ใช้แก่กริยาพูด)
3
ขิงก็รา ข่าก็แรง
ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน, ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน, ต่างไม่ยอมลดละกัน
ขี้แพ้ชวนตี
แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกำลัง, แพ้แล้วพาล'
ขุนไม่ขึ้น, ขุนไม่เชื่อง
เลี้ยงไม่เชื่องมีแต่เนรคุณ
เขียนเสือให้วัวกลัว
ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม
ไข่ในหิน
ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง
คงเส้นคงวา
เสมอต้นเสมอปลาย
คดในข้องอ ในกระดูก
มีสันดานคดโกง
คว่ำบาตร
ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย, เดิมหมายถึงสังฆกรรมที่พระสงฆ์ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้
ประทุษร้ายต่อศาสนาด้วยการไม่คบ ไม่รับบิณฑบาต เป็นต้น
คางคกขึ้นวอ
คนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดิบได้ดีก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว
4
จระเข้ขวางคลอง
ผู้ที่ชอบกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้สะดวก เหมือนจระเข้ที่
ขึ้นมาขวางคลองทำให้เรือผ่านไปผ่านมาไม่สะดวก
จับปลาสองมือ
หมายจะเอาให้ได้ทั้ง 2 อย่าง, เสี่ยงทำการพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจไม่สำเร็จทั้ง 2 อย่าง
จับปูใส่กระด้ง
ยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้
จับแพะชนแกะ
ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทนเพื่อให้ลุล่วงก็ไป
ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
นำศัตรูเข้าบ้าน
ชักใบให้เรือเสีย
พูดหรือทำขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป
เด็กอมมือ
ผู้ไม่รู้ประสีประสา
ดินพอกหางหมู
ที่คั่งค้างค้างพูนขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กเมื่อวานซืน
คำกล่าวเชิงดูหมิ่นหรือเชิงสั่งสอนว่า มีความรู้หรือประสบการณ์น้อย
เด็ดบัวไม่ไว้ใย
ตัดขาด, ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด, มักใช้คู่กับ เด็ดดอกไม่ไว้ขั้ว เด็ดบัวไม่ไว้ใย
5
ตบตา
หลอกหรือลวงให้ให้เข้าใจผิด
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง
ทำอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล
ตบหัวลูบหลัง
ทำหรือพูดให้กระทบกระเทือนใจในตอนแรกแล้วกลับทำ หรือพูดเป็นการปลอบใจใน
ตอนหลัง
ตัดหางปล่อยวัด
ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป
ตาลีตาเหลือก
อาการรีบร้อนลนลาน, ตื่นกลัว
ถวายหัว
ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ, เอาชีวิตเป็นประกัน, ทำจนสุดความสามารถ, ยอมสู้ตาย
ถ่านไฟเก่า
ชายหญิงที่เคยรักใคร่หรือเคยได้เสียกันมาก่อน แม้เลิกร้างกันไปเมื่อมาพบกันใหม่
ย่อมรักใคร่หรือปลงใจกันได้ง่ายขึ้น
ถอนหงอก
ไม่นับถือเป็นผู้ใหญ่, พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่
ถอดเขี้ยวถอดเล็บ
ละพยศ, ละความดุหรือร้ายกาจ, เลิกแสดงฤทธิ์แสดงอำนาจอีกต่อไป
ถอยหลังเข้าคลอง
หวนกลับไปหาแบบเดิม
6
ทองแผ่นเดียวกัน
เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน
ทองไม่รู้ร้อน
เฉยเมย, ไม่กระตือรือร้น, ไม่สะดุ้งสะเทือน
ท่าดีทีเหลว
มีท่าทางดี แต่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง
ทำนาบนหลังคน
หาผลประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น
ทำบุญเอาหน้า
ทำบุญอวดผู้อื่น ไม่ใช่ทำด้วย
นกต่อ
คนที่ทำหน้าที่ติดต่อหรือชักจูงหลอกล่อคนอื่นให้หลงเชื่อ (ใช้ในทางไม่ดี)
นายว่าขี้ข้าพลอย
พลอยพูดผสมโรงติเตียนผู้อื่นตามนายไปด้วย
น้ำขึ้นให้รีบตัก
มีโอกาสดีควรรีบทำ
น้ำบ่อน้อย
น้ำลาย
น้ำลดตอผุด
เมื่อหมดอำนาจความชั่วที่ทำไว้ก็ปรากฏ
7
บนบานศาลกล่าว
ขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
บอกเล่าเก้าสิบ
บอกกล่าวให้รู้
บ่างช่างยุ
คนที่ชอบส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน
บุกป่าฝ่าดง
พยายามต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ
ปลาข้องเดียวกัน
คนที่อยู่ร่วมกันหรือเป็นพวกเดียวกัน
ปลาหมอแถกเหงือก
กระเสือกกระสนดิ้นรน
ปากปลาร้า
ชอบพูดคำหยาบ
ปิดทองพระ
ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยกย่องเพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า
ปิดประตูตีแมว
รังแกคนไม่มีทางสู้ไม่มีทางหนีรอดไปได้
ผ่อนหนักเป็นเบา
ลดความรุนแรง, ลดหย่อนลง
8
ผักชีโรยหน้า
การทำความดีเพียงผิวเผิน
ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ให้หรือแจกจ่ายอะไรไม่ทั่วถึงกัน
ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จผล
ฝากผีฝากไข้
ขอยึดเป็นที่พึ่งจนวันตาย
พูดเป็นนัย
พูดอ้อม ๆ โดยไม่บอกเรื่องราวตรง ๆ
พุ่งหอกเข้ารก
ทำพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมายหรือโดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อน
ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด
ฟังไม่ได้ความแจ่มชัด แล้วเอาไปพูดต่อหรือทำผิด ๆ พลาด ๆ
ม้าดีดกระโหลก
มีกิริยากระโดกกระเดกลุกลนหรือไม่เรียบร้อย (มักใช้แก่ผู้หญิง)
มีหน้ามีตา
มีคนนับถือ, มีเกียรติ, ได้รับความยกย่อง
9
แม่สื่อแม่ชัก ไม่ได้เจ้าตัว เอาวัวพันหลัก
หญิงที่ไปติดต่อระหว่างชายหญิงแต่ไม่สำเร็จในที่สุดก็ตกเป็นภรรยาของชายนั้นแทน
ไม่ใช่ขี้ไก่
ไม่เลว, มีอะไรดีเหมือนกัน ดูหมิ่นไม่ได้
ไม่มีเงาหัว
เป็นลางว่าจะตายร้าย
ไม้ใกล้ฝั่ง
แก่ใกล้จะตาย
ไมเ้ บื่อไมเ้ มา
ไม่ลงรอยกัน, ขัดแย้งเป็นประจำ
ยกตนข่มท่าน
ยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น, พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า
ยกเมฆ
เดาเอา, นึกคาดเอาเอง, กุเรื่องขึ้น
ยกหางตัวเอง
ยกตนเองว่าดีว่าเก่ง
รวบหัวรวบหาง
รวบรัดให้สั้น, ทำให้เสร็จโดยเร็วฉวยโอกาสเมื่อมีช่องทาง
รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา
ใฝ่ดีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วจะได้รับความลำบาก
10
ลมเพลมพัด
อาการที่เจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุมักเข้าใจว่าถูกกระทำ
ลิงหลอกเจ้า
ล้อหลอกผู้ใหญ่เวลาผู้ใหญ่เผลอ
วันพระไม่ได้มีหนเดียว
วันหน้ายังมีโอกาสอีก (มักใช้พูดเป็นเชิงอาฆาต)
วัวลืมตีน
คนที่ได้ดีแล้วลืมฐานะเดิมของตน
ศิษย์คิดล้างครู
ศิษย์เนรคุณที่มุ่งคิดทำลายล้างครูบาอาจารย์
ศิษย์มีครู
คนเก่งที่มีครู
สองจิตสองใจ
ลังเล, ตัดสินใจไม่ได้, เช่น จะไม่เชียงใหม่ดีหรือไม่ไปดี ยังสองจิตสองใจอยู่
สิ้นประตู
ไม่มีทาง
หนอนหนังสือ
คนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ
หมากัดไม่เห่า
คนที่ต่อสู้หรือตอบโต้โดยไม่เตือนล่วงหน้า
11
หมูในอวย
สิ่งที่อยู่ในกำมือ
หวานนอกขมใน
พูด ทำ หรือแสดงให้เห็นว่าดีแต่ภายนอก แต่ในใจกลับตรงข้าม
หอกข้างแคร่
คนที่ใกล้ชิดที่อาจคิดร้ายขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ มักใช้แก่
ลูกเลี้ยงที่ติดมากับพ่อหรือแม่, ศัตรูที่อยู่ข้างตัว
อมพระมาพูด
ใช้ในการพูดโดยอ้างพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเป็นพยาน มักใช้ในความปฏิเสธ
เช่น ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ
นกน้อยทำรังแต่พอตัว
หมายถึง เป็นผู้น้อยทำอะไรต้องดูให้พอสมควรกับฐานะของตน เช่น มีเงินไม่มากนัก ก็
สร้างบ้านพอประมาณมิใช่สร้างใหญ่โตเพิ่มภาระหนี้สินให้ครอบครัว
ตีงูให้กากิน
หมายถึง ลงทุนลงแรงทำสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ตน มีแต่จะเป็นโทษแล้วยังกลับไปเป็น
ประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก เช่น ตีงูให้ตายแต่ไม่ได้นำงูมาเป็นอาหารกลับโยนงูให้กากิน
ขมิ้นกับปูน
หมายถึง คนสองคนที่ไม่ถูกกัน อยู่ใกล้กันเมื่อไรก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเมื่อนั้น
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
หมายถึง คนที่มีอำนาจราชศักดิ์ หรือเป็นใหญ่เป็นโตก็ย่อมข่มคนที่เป็นผู้น้อยหรือผู้น้อย
เหมือนกับคนที่มีกำลังมากย่อมมีภาษีเหนือกว่าคนอ่อนแอ
12
ฆ่าช้างเอางา
หมายถึง การทำลายสิ่งที่ใหญ่โตลงทุนลงแรงไปมาก เพื่อให้ได้ของสำคัญเพียง
เล็กน้อย โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะสมควรหรือไม่ขอให้ได้สิ่งที่ต้องการ
วัดรอยเท้า
หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสำนวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้พ่อ หรือ
ใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้
ม้าดีดกระโหลก
หมายถึง กริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุก
จะนั่งจะเดินเตะนั่นโดนนี่ กระทบโน่นไปรอบข้าง
จับปูใส่กระด้ง
หมายถึง การเปรียบเทียบกับเด็กๆที่ซุกซน ไม่ยอมอยู่นิ่งผู้ใหญ่ต้องคอยควบคุมดูแล
ตลอดเวลา เพื่อให้เด็กอยู่ในระเบียบ
เป่าปี่ให้ควายฟัง
หมายถึง การพูดจาแนะนำสั่งสอนให้คนโง่เง่าฟัง เพื่อหวังให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเขาเอง
แต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะคนโง่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกับคนเป่าปี่ให้ควายฟัง
ควายฟังไม่รู้เรื่อง
ขนทรายเข้าวัด
หมายถึง การทำประโยชน์ให้ส่วนรวม โดยการกระทำอย่างไรอย่างหนึ่งแม้ไป
กระทบกระเทือนให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ ก็ถือว่ายกให้กับส่วนรวมไม่ต้องมีอะไรมาชดเชยก็ได้
ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด
หมายถึง คนที่ทำความผิดอย่างร้ายแรง ย่อมไม่สามารถปกปิดความผิดของตนได้ หรือ
พยายามหาหลักฐานมากลบเกลื่อน แต่ไม่สามารถปกปิดความผิดนั้นได้
13
ตักบาตรถามพระ
หมายถึง จะให้อะไรสักอย่างหนึ่งแก่ผู้อื่น ในเมื่อผู้นั้นเต็มใจรับอยู่แล้ว ไม่ต้องถามว่าจะ
เอาหรือไม่เอา เมื่อจะให้ก็ให้ทีเดียว เหมือนกับถวายอาหารพระ พระท่านจะรับของทุกอย่าง
ไม่มีการปฏิเสธ
ยืนกระต่ายขาเดียว
หมายถึง การพูดยืนยันคำเดียวไม่แปรผันหรือเปลี่ยนแปลงไป เช่น เขาไม่ได้ลักเงินไป
จริงๆถามเขาตั้งร้อยครั้งเขาก็ยืนยันว่าไม่ได้อาไปจริง
วัวแก่อยากกินหญ้าอ่อน
หมายถึง ชายแก่ที่มีเมียสาวคราวลูกหลาน มักใช้เป็นคำเปรียบเปรย เมื่อเห็นคนที่มีอายุ
มากไปจีบเด็กรุ่นลูกหลานหวังจะได้มาเป็นเมีย
สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ
หมายถึง สอนคนที่มีสันดานไม่ดีอยู่แล้ว ให้มีความเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น แล้วก็
ก่อให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นมาภายหลัง
วัวหายล้อมคอก
หมายถึง เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้ว จึงคิดหาหนทางป้องกัน เหมือนมีสมบัติไม่เก็บรักษา
ให้ดี พอสมบัติหายไปแล้วจึงหาทางสร้างที่เก็บสมบัติ
ตาบอดได้แว่น
หมายถึง ได้รับสิ่งของที่มีคนเขาให้มา แต่ตัวเองไม่มีปัญญาจะใช้ เช่น มีคนให้พัดลมมา
แต่ที่บ้านไม่มีไฟฟ้าเป็นต้น
ปลากระดี่ได้น้ำ
หมายถึง การแสดงอาการดีใจจนออกหน้าดูแล้วเกินงาม ส่วนใหญ่แล้วจะว่าผู้หญิงที่
แสดงอาการดีใจ และท่าทางไม่เรียบร้อย
14
ขี่ช้างจับตั๊กแตน
หมายถึง การจัดทำสิ่งใดที่เป็นการโกลาหลโดยใช่เหตุ หรือธุระที่ทำนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อย
ไม่น่าจะต้องลงทุนหรือเตรียมการใหญ่โตเกินต้องการ เหมือนคนลงทุนมากได้
ผลตอบแทนน้อย
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
หมายถึง ไม่ช่วยทำงานแล้วเกะกะขัดขวาง ทำให้งานเดินไปไม่สะดวก เหมือนกับคนที่นั่งไป
ในเรือไม่ช่วยทำงาน แต่ยังไปเอาเท้าไปราน้ำให้เรือแล่นช้า
วัดรอยเท้า
หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสำนวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้ลูก หรือ
ใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้
หนีเสือปะจระเข้
หมายถึง คนที่มีความทุกข์กำลังจะได้รับอันตราย ไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น
แต่กลับไปพบความทุกข์อันตรายอีก จากบุคคลที่ไปขอพึ่งพิง
กระต่ายตื่นตูม
หมายถึง การตกใจเกินกว่าเหตุ เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้น ยังไม่ทันพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็ตกใจไป
ก่อนแล้ว เหมือนกับนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูม
จับปลาสองมือ
หมายถึง ต้องการตำหนิชายหรือหญิงที่ใจไม่แน่นอน เช่น รักคนสองคนในเวลา
เดียวกัน ดีไม่ดีคนรักอาจหลุดมือไปทั้งสองคนเลยก็ได้
ไข่ในหิน
หมายถึง สิ่งต่างๆ หรือสิ่งใด ที่มีลักษณะเปราะมอมบางอ่อนแอ ต้องทะนุถนอมเป็น
พิเศษ ไม่ให้ได้รับอันตรายหรือเกิดการเสียหายได้
15
ดินพอกหางหมู
หมายถึง การปล่อยงานคั่งค้างอยู่เรื่อยๆ เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพุ่ง ในไม่ช้างานที่คั่ง
ค้างนั้นจะพอกพูลมากขึ้นทุกที จนเป็นภาระที่หน้าเบื่อหน่ายภายหลัง
คางคกขึ้นวอ
หมายถึง การประชกประชันหรือเสียดสีเมื่อปรากฏว่าบุคคลใด บุคคลหนึ่งซึ่งขาดลักษณะ
เหมาะสมได้รับการยกย่อง จนเกินฐานะและพื้นเพเดิม
เอาเป็ดไปขันประชันไก่
หมายถึง การเอาของที่ไม่ดี ไม่มีค่ามาแทนของดีของมีค่า เช่น นำทองแดงหัวพลอยไป
แทน แหวนทองคำ ฝังเพชร เป็นต้น

ทะเลาะเพื่อรัก



ทะเลาะเพื่อรัก

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคู่รักทุกคู่ แม้ต่างเป็น "คนพิเศษ" ของกันและกัน แต่ก็มีโอกาสที่จะมีความคิดเห็นต่างกัน และนำมาซึ่งความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีสองด้านเสมอ แม้ในขณะที่กำลังเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็ยังมีข้อแนะนำที่ทำให้การทะเลาะของคุณทั้งคู่ กลายเป็นการทะเลาะที่สร้างสรรค์ และเป็นหนทางที่จะเติมเต็มความรักมากกว่าที่จะทำให้เกิดรอยร้าว

1. ตั้งสติก่อนทะเลาะ

เมื่อเห็นวี่แววแล้วว่าจะเกิดความขัดแย้ง อย่าเพิ่งใจร้อนปะทะคารมหรือพูดจาไม่สุภาพ คุณทั้งคู่ควรรวบรวมสติเท่าที่มีทั้งหมด และให้คิดเสมอว่าแม้การทะเลาะอาจไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่หากหลีกเลี่ยงบรรยากาศ ที่จะทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้ย่อมเป็นสิ่งดี

2. บางเรื่องก็ไม่มีคนผิด

ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เรื่องความเข้าใจกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญสุด ดังนั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งจึงไม่ควรโยนความผิด ความบกพร่องให้กับอีกฝ่าย เพราะแท้จริงแล้วเรื่องบางเรื่องก็ไม่มีคนผิด อีกทั้งวิธีการที่ดีที่สุดคือ การปรับตัวและพยายามทำความเข้าใจระหว่างกันให้มากขึ้น

3. พูดจากันอย่างตรงไปตรงมา

คู่รักบางคู่คบกันมายืดยาว โดยไม่เคยมีปากเสียง ทะเลาะ หรือขัดแย้งกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจกันทุกอย่าง แต่อาจหมายถึงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อดทนและเก็บกดความอึดอัดนั้นเอาไว้ ดังนั้น หากต้องการสิ่งใดควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก เพื่อจะได้เข้าใจกันและกัน

4. อดีต คือ อดีต

หลายคู่หาเรื่องกันเพราะเรื่องราวในอดีต ที่มักถูกยกขึ้นมาพูดเสมอ เมื่อเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจ เรื่องเก่าที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นขึ้นมา เพื่อทำให้บรรยากาศแย่ลง และการกระทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยให้กลับมาคืนดีกันแล้ว ยังบั่นทอนความรักที่คุณมีให้แก่กันลงอีกด้วย

5. ขอโทษ

คำพูดง่าย ๆ คำว่า ขอโทษ ถือเป็นอีกคำหนึ่งที่จะช่วยให้บรรยากาศในความคิดเห็นต่างดีขึ้น ดังนั้น คุณควรระลึกไว้เสมอว่า ควรพูดคำว่าขอโทษให้เป็นคำพูดติดปาก แม้บางครั้งเราไม่ใช่ผู้กระทำผิด แต่ถือเป็นสิ่งที่ดีหากเราจะกล่าวคำขอโทษ เพื่อทำให้บรรยากาศในความสัมพันธ์ดีขึ้น

6. สัมผัสแก้โกรธ

บางครั้งความโกรธ ความไม่พอใจ อาจทำให้นึกถึงสิ่งที่จะพูดไม่ออก ดังนั้น อาจใช้วิธีการสัมผัสให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความผ่อนคลาย และอารมณ์ที่อ่อนลงของคุณ อาจช่วยให้ความขัดแย้งระหว่างคุณกับเธอดีขึ้น โดยอาจจะบอกว่ารักนะ หรือบางคนอาจลองเสี่ยงเข้าไปกอดแน่น ๆ ความใกล้ชิดอาจทำให้หลาย ๆ อย่างดีขึ้น

7. แก้ไขและพัฒนาตัวเอง

แม้จะบอกไปว่าเรื่องบางเรื่องไม่มีคนผิด แต่อย่างน้อยให้เรียนรู้ว่าการทะเลาะกันครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตนเองครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ควรตั้งใจหาวิธีแก้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาการทะเลาะกัน

8. ปรับตัวและเรียนรู้กัน

บางครั้งเราต้องใช้เวลาในการที่คนสองคน จะปรับตัวและเรียนรู้กันและกัน ดังนั้น ทั้งสองควรคุยและวิเคราะห์ว่าการทะเลาะกันในครั้งนี้ สร้างบทเรียนอะไรบ้างให้กับพวกคุณ โดยลองกลับไปทบทวนเหตุการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก แม้แต่คำสนทนาก่อนทะเลาะ เพื่อจะได้เข้าใจกันและกันมากขึ้น

เมื่อทุกคู่รักเห็นด้านดีของการทะเลาะ ที่จะช่วยให้ความรักเติบโตขึ้นแล้ว ก็หวังว่าความเข้าใจที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จะยิ่งทำให้คุณทั้งคู่ทะเลาะกันน้อยลง แต่กลับรักกันมากขึ้นตลอดไป

4.26.2011

16 วิธีสร้างสุขแบบง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง



16 วิธีสร้างสุขแบบง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง

คำพูดที่ว่า "ความสุขหาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน" ยังคงใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย จริงไหมคะ? แน่นอนว่าในทุก ๆ วัน เราอาจจะต้องเผชิญกับเรื่องชวนเครียดเต็มไปหมด ทั้งเรื่องเรียน การทำงาน อกหัก แอบรักใคร หรือปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย วันนี้เรามี 16 วิธีสร้างความสุขง่าย ๆ ให้กับตัวคุณเองมาฝากกันค่ะ

1. มองที่ตู้ปลา

การจ้องตู้ปลาสามารถลดความเครียดและทำให้ความดันเลือดลดลง หรือแม้แต่การดูสารคดีเกี่ยวกับปลาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วเช่นกันว่ามีผลในการบำบัด ช่วยให้คุณมีสุขภาพดียิ่งขึ้น

2. ใส่เสื้อสีเหลือง

จากการศึกษาจิตวิทยาของสี แสดงให้เห็นว่าสีเหลืองช่วยให้จิตใจเบิกบาน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมั่นคงทางอารมณ์ และความเป็นมิตร แถมยังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ด้วย ดังนั้นการใส่เสื้อสีเหลืองจึงได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถยกระดับจิตใจและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้ อีกทั้งยังส่งผลไปถึงคนอื่น ๆ ให้มีความสุขด้วยเช่นกัน ถึงแม้บ้านเมืองเราจะมีประเด็นเรื่องเสื้อหลากสีอยู่ ก็ลืม ๆ ไปบ้างก็ดีนะคะ อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพใจของเรานะ

3. ใช้พลังของกลีบดอกไม้

ผลการวิจัยล่าสุดยืนยันว่ากลีบดอกไม้มีพลังพิเศษที่สามารถปลุกชาวอเมริกันจากอาการง่วงซึมขึ้นมาในยามเช้าได้ ทำให้พวกเขารู้สึกดี มีความสุขและตื่นตัวมากขึ้นหลังจากที่ลืมตามองเห็นดอกไม้เป็นอย่างแรก

4. ดื่มนม

ผลิตภัณฑ์จากนมอุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียด ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความจำในสมอง

5. มองวิวทิวทัศน์สวย ๆ งาม ๆ

ผู้ป่วยโรงพยาบาลที่อยู่ในห้องที่มีวิวที่สวยงาม จะทำให้ผู้ป่วยหายเร็วยิ่งขึ้นกว่าผู้ป่วยห้องที่มีวิวเป็นผนังอิฐ จากทฤษฎีดังกล่าวก็สามารถปรับใช้ในชีวิตของเราได้เช่นเดียวกัน หากเรามองออกไปนอกหน้าต่างที่มีวิวทิวทัศน์ดี ๆ ก็จะช่วยให้เรามีอารมณ์เบิกบาน ลดความเครียด ปลูกฝังการมีทัศนคติที่ดี แต่หากทิวทัศน์นอกห้องคุณไม่ดีล่ะก็ คุณอาจจะหาภาพหรือรูปถ่ายสถานที่ที่คุณชอบมาติดเอาไว้รอบ ๆ ห้องดูก็ไม่เลวนะ

6. ดมกลิ่นหอม ๆ

กลิ่นหอม ๆ สามารถทำให้สมองปลอดโปร่ง และรู้สึกมีความสุขจากการคิดถึงสิ่งที่ดี ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเครียด และสามารถปรับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้ ลองหาเทียนหอมๆ มาวาง หรือจุดน้ำมันหอมเพื่อคลายอารมณ์ สร้างสุนทรีให้ชีวิตกันดีไหม

7. กระโดด

การกระโดดเพียงแค่ 30 วินาที จะช่วยทำให้หัวใจและหลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ลดความเครียด กระตุ้นอารมณ์ โดยคุณไม่จำเป็นต้องกระโดดเร็ว เพียงแค่คุณกระโดดสลับขาไปมาเท่านั้นเอง

8. เคี้ยวหมากฝรั่ง

จากผลการทดสอบการจดจำคำ ผู้ที่เคี้ยวหมากฝรั่งสามารถจดจำได้มากกว่า 2/3 ของผู้ที่ไม่ได้เคี้ยว เนื่องจากการเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยส่งออกซิเจนและกลูโคสไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพิ่มสมาธิในการจดจำ แต่ยังเป็นการกระตุ้นสมองให้มีอารมณ์ดีและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

9. เต้นคลายเครียด

ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแบบใดก็ตาม จะช่วยลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ และประสานการทำงานของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และลดความดันโลหิตได้อีกด้วย

10. หัวเราะออกมาดัง ๆ

การดูซิทคอมซักตอน ดูเดี่ยวไมโครโฟน อ่านหนังสือการ์ตูน หรือออกไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง จะทำให้คุณรู้สึกอารมณ์ไปได้ทั้งวันเชียวล่ะ ผลการวิจัยยืนยันว่าผู้ที่หัวเราะสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนที่สร้างความเครียดให้กับร่างกาย นอกจากนี้มันจะช่วยกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสุข ยิ่งคุณหัวเราะดังเท่าไร จะช่วยเพิ่มจำนวนของเซลล์แอนติบอดี้ และกระตุ้นทีเซลล์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการหัวเราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน อีกทั้งลดความตึงเครียดที่อาจส่งผลมาสู่ร่างกาย

11. จัดข้าวของให้เรียบร้อย

เวลาที่เราต้องพบกับสภาพที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของโต๊ะทำงาน หรือที่บ้านก็ตาม จะทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้สมองหลั่งสารอะดรีนะลีนออกมา ซึ่งจะส่งผลให้ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ และความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น

12. เล่นกับสัตว์เลี้ยง

เราสามารถสังเกตได้ว่าคนที่มีสัตว์เลี้ยงมักจะไม่ค่อยมีอาการหดหู่ ซึมเศร้า ดังนั้นหากคุณมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน นับว่าเป็นประโยชน์มากเลยทีเดียว แต่หากคุณไม่มีสัตว์เลี้ยง ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแค่คุณลูบหรืออยู่ใกล้ ๆ กับสัตว์ก็พอแล้ว ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าการอยู่ใกล้กับสัตว์จะทำให้คุณมีอัตราการเต้นของชีพจรต่ำลง และลดระดับความดันเลือด ถ้าไม่เชื่อ คุณก็ลองไปที่ร้านขายสัตว์ แล้วเล่นกับพวกมันดูสิ คุณจะรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีเชียวล่ะ

13. หาที่สงบ ๆ อยู่คนเดียวซักพัก

เสียงดัง ๆ เป็นบ่อเกิดของความเครียดเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดอาการตื่นตัวมากขึ้น หรือแม้ในยามที่คุณหลับ ร่างกายของคุณก็ยังคงมีปฏิกิริยาต่อเสียง จึงทำให้เกิดความเครียด ซึ่งจะมีผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และเกิดอาการช็อคได้ในที่สุด วิธีแก้ง่ายๆ เพียงแค่คุณเข้าไปในห้องที่เงียบ ๆ ภายในบ้านของคุณ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ล่ะก็ ลองเข้าห้องสมุด วัด หรือหามุมสงบในสวนสาธารณะดูก็ได้นะ

14. ยืนตัวตรง

คนที่ยืนหลังงอจะทำให้กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นยึดกระดูกมีอาการตึง ซึ่งจะส่งผลให้ข้อต่อกระดูกเสื่อม และอาจจะส่งผลกระทบไปถึงอวัยวะภายในด้วยเช่นกัน

15. ปล่อยวางซะบ้าง

หากคุณมีเรื่องไม่สบายใจ หรือมีคนมาทำให้คุณคิดมาก เพียงแค่คุณรู้จักปล่อยวาง และให้อภัยพวกเขาซะบ้าง ความหดหู่ ความเศร้าโศกเสียใจ และความกังวลที่มีก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงไป

16. อยู่ในที่สว่าง ๆ

เพียงแค่คุณอยู่ในบ้านที่สว่าง ๆ มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามา คุณจะรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ เพราะแสงจะเข้าไปกระตุ้นสมองให้หลั่งสารโซโรโทนินซึ่งเป็นสารที่จะช่วยปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้น แม้ว่าบางทีคุณอาจจะไม่ได้ออกไปรับแสงอาทิตย์นอกบ้านเลย แต่อย่างน้อยคุณก็อาจจะทำห้องให้ดูสว่าง โดยการทำความสะอาดกระจกหน้าต่าง เปลี่ยนหลอดไฟ หรือเปลี่ยนผ้าม่านเท่านี้เอง ก็จะช่วยให้คุณอารมณ์ดีขึ้นแล้วล่ะ

เห็นไหมคะว่าการสร้างความสุขให้กับตัวเองง่ายแค่ไหน เพียงทำตามวิธีง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็สามารถสร้างความสุขง่าย ๆ ให้กับตัวคุณเองได้แล้วล่ะค่ะ

4.16.2011

ปล่อยหัวใจให้รักได้กอด



ปล่อยหัวใจให้รักได้กอด

ผู้คนที่รักไม่เป็น มักรวมความรัก ความหลง ความใคร่ และการครอบครองมาไว้ด้วยกัน ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาใดขึ้น พวกเขาจะไม่อดทนแก้ไขอย่างใจเย็น พวกเขาจะไม่ใช้ความรักที่อ่อนโยน แก้ปัญหา แต่พวกเขาใช้ความหึง ความหวง และบางครั้งก็ใช้พละกำลัง... สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่น่าขยาดกลัว มีอานุภาพรุนแรงเหลือจะกล่าว

ในที่สุดหลังจากเขาได้ตัดสินปัญหา ด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความรักแล้ว และผลของมันได้ลุกลามใหญ่โต "ความรัก" จึงตกเป็นผู้ต้องหา...โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะแก้ต่างให้ตัวเอง

ทุกวันนี้ ต้องขอบคุณคนที่รักฉัน และฉันรัก คนรอบข้างที่ดี เพื่อนและครอบครัวที่ไม่เคยกล่าวโทษ ฉันอยากให้เรารักกัน...รักกัน...รักที่ไม่ใช่หลง และไม่ใช่ความใคร่...ทุกวันนี้ฉันดีใจที่คนเหล่านี้เปลี่ยนความคิดของฉัน ทุกคนทำให้ฉันรู้ว่าเนื้อแท้ของความรักเป็นอย่างไร เนื้อแท้...ที่ไม่ผ่านการป้ายสีจากปากและคำพูดของใครมา

สิ่งดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้ ทำให้ฉันเชื่อว่า "ความรักไม่เคยทำร้ายใคร...มีแต่คนของความรักต่างหากที่ทำร้ายกันเอง"

4.11.2011

ความสุข ที่สาว ๆ หาได้ง่าย ๆ



ความสุข ที่สาว ๆ หาได้ง่าย ๆ

หาความสุขใส่ตัวได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษ หรือต้องรอให้เพื่อนฝูงว่างตรงกัน เราเรียกความสุขแบบนี้ว่า ความสุขในแบบฉบับ Do It Yourself ทำเอง ใช้เอง มีความสุขกับตัวเอง

1. หายใจให้ถึงท้อง

สิ่งหนึ่งที่คนเราทำเป็นประจำตลอดเวลาและตลอดชีวิตก็คือการหายใจ และสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ละเลยมาตลอดก็คือความตั้งใจที่จะหายใจ ยอมรับกันมั้ยว่าเราไม่ได้สนใจเลยว่าเรากำลังหายใจ และไม่ค่อยได้รู้ตัวเลยว่าเราหายใจเข้าออกแบบเฮือกสั้น ๆ ลองมาปรับโหมดการหายใจกันใหม่ทุกครั้งที่รู้ตัว ด้วยการหายใจเข้าช้า ๆ ลึก ๆ ประมาณว่าอัดลมเข้าไปจนท้องป่อง และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกจนท้องแฟบ ความตั้งใจที่จะหายใจจะทำให้เรามีสมาธิโดยอัตโนมัติ อารมณ์ที่เคยฟุ้งซ่านพลุ่งพล่านก็จะบรรเทาเบาบางลงโดยปริยาย

2. ผ่อนคลายด้วย Easy Listening

ถึงจะชอบกรี๊ดไปกับเพลงป๊อป ๆ ถึงจะชอบโยกไปกับจังหวะร็อก ๆ ถึงจะชอบแดนซ์ไปกับเพลงมันส์ๆ แต่ถ้าอยากผ่อนคลายสบายอารมณ์แบบโหมดเดียวเอาอยู่ ก็ต้องหลีกทางให้กับแนว Easy Listening ถ้าชอบฟังเพลง แนะนำให้ฟังหมวดเพลงบรรเลงมากกว่า เพราะจะได้ปล่อยใจฟังไปเรื่อย ๆ เพลิน ๆ แต่ถ้าใฝ่ธรรมะ แนะนำให้ฟังบทสวดมนต์สไตล์ทิเบต-เนปาล ที่ฟังแล้วได้อารมณ์มนตราหิมาลัยนักแล

3. เอกเขนกอ่านหนังสือเล่มโปรด

นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้หยิบหนังสือเล่มโปรดมาอ่าน วันว่างวันหน้า ลองหามุมเอกเขนกสบาย ๆ วาง Props เป็นหมอนอิงใบนุ่ม ของขบเคี้ยวติดมือ น้ำผลไม้ติดปาก แล้วคว้าหนังสือเล่มโปรดที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน หรืออ่านเท่าไหร่ก็ยังไม่จบสักที มาจัดการในวันนี้ซะเลย ส่วนจะเคลิ้มไปกับพระเอกนิยายชวนฝัน จะหัวเราะไปกับการ์ตูนชวนตลก หรือจะเพลินไปกับการอัพเดตเรื่องน่ารู้ใหม่ ๆ ใคร ๆ ก็ไม่เกี่ยวในโลกส่วนตัวของเรายามนี้

4. คลายตัวด้วยนวดอโรมา

ไม่ต้องรอให้วัยวุฒิทะลุหลักเลขสี่ หรือขึ้นดีกรีเป็นผู้เฒ่า หนุ่มสาวยุคนี้ต่างก็ยกนิ้วให้ บริการนวดแบบไม่มีข้อสงสัยว่าช่างผ่อนคลายดี เหลือหลาย ไม่ว่าจะเป็นนวดแผนไทย นวดอโรมา นวดสวีดิช นวดศีรษะ นวดหน้า นวดแขน หรือนวดทั้งตัว คงไม่ผิดกฎความสุขเล็ก ๆ ฉบับ D.I.Y. ถ้าจะแนะนำให้หาร้านที่มีบรรยากาศรื่นรมย์ แล้วไปนอนอุทิศร่างกายให้ช่างนวดฝีมือดีละเลงเพลงนวดแบบอโรมาสัก 2 ชั่วโมง ส่วนจะติดใจจนเผลอซื้อคอร์สต่อหรือเปล่า บวกลบงบประมาณเอาเองแล้วกัน

5. บ่มอารมณ์สปา

ไม่ต้องบินไปสัมผัสเมืองหลวงแห่งสปาที่สาธารณรัฐเช็ก หรือต้องบินไปดื่มด่ำเกาะแห่งสปาที่บาหลี เราก็สามารถสร้างอาณาจักรสปาส่วนตัวได้เองแบบง่าย ๆ ทั้งในห้องนอน ห้องน้ำ ห้องทำงาน ในรถเก๋ง และแม้แต่ในรถไฟฟ้า เพื่อการสูดดมบ่มอารมณ์สปาได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์สปาให้เลือกมากมาย ทั้งในรูปของเทียนหอม ธูปหอม น้ำมันหอมระเหย เลยไปถึงครีมทามือทาผิว สารพัดกลิ่นสารพัดอารมณ์ ทั้งกลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม กลิ่นจัสมิน กลิ่นลาเวนเดอร์ ฯลฯ ถูกใจกลิ่นไหน ช็อปได้ตามอารมณ์เลยจ้ะ

6. ใช้เวลากับครอบครัว

ความสุขจากการฟังเพลง อ่านหนังสือ นวดอโรมา หรืออบสปา อาจจะมาเป็นหย่อมๆ ตามเวลาที่เลือกใช้บริการ แต่ความสุขแบบ Unlimited ที่มาพร้อมโปรโมชั่นแบบ No Expire Date แถมยังเป็นเจ้าของได้เร็วกว่าซื้อไอโฟน 4 และง่ายกว่าซื้อคริสปี้ครีม ก็คือความสุขในครอบครัวของเราเอง จะไปตระเวนไหว้พระครบ 9 วัด ก็คงไม่อิ่มใจเท่าได้กราบ 2 พระที่บ้าน คือ คุณพ่อ คุณแม่ จะทานเมนูรสเด็ดจากเชฟร้านไหนก็คงไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณยาย จะรายล้อมด้วยเพื่อนฝูง ก็คงไม่อบอุ่นเท่าเดินกระแทกไหล่พี่น้องของเราเอง เพราะที่นี่มีแต่คนที่รักเราอย่างจริงใจ

ความสุขเล็ก ๆ หาได้ง่ายนิดเดียว คุณว่าจริงมั้ย

รักแต่ต้องห้ามใจไม่ให้รัก มันเจ็บรู้ไหม



รักแต่ต้องห้ามใจไม่ให้รัก มันเจ็บรู้ไหม

มันมีเหตุผลหลายอย่าง ที่เราจำเป็นต้องหักห้ามใจไม่ให้รักใครสักคน เหตุผลของคนเราย่อมไม่เหมือนกัน...

บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะรู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ บางคนอาจต้องห้ามใจ เพราะกลัวใจตัวเองจะถลำลึกและเจ็บปวดมากไปกว่านี้ บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะมีคนที่รักคนที่เรารักมาก่อน และคนคนนั้นก็คือคนที่เรารู้จัก และเราก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนคนนั้น บางคนอาจต้องห้ามใจ เพราะเขาอาจไม่ได้คิดและรู้สึกเหมือนกับเรา

ทุกข์ทรมานแค่ไหนที่เรารักเขา แต่ต้องพยายามฝืนใจถอยห่างออกมา เราต้องเงียบ ต้องเฉยชา ต้องเลี่ยง ต้องหลบหน้า ต้องทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ เพื่อจะย้ำเตือนให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกอะไรใด ๆ กับเขา มันเจ็บแทบบ้าที่ต้องทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการนี้ แม้จะดูเป็นวิธีการโง่ ๆ แต่หากจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องบาดเจ็บ

การถอยห่างจะช่วยสอนให้เราได้เรียนรู้ว่า ยิ่งเรายึดติด อยากได้ อยากครอบครอง ยิ่งทำให้เราอ่อนแอและแพ้ภัยตัวเอง หากไม่ได้เขามาเป็นคนรักของเรา

ขอเพียงแค่เขาได้เข้าใจในเหตุผลข้อนี้ อย่าได้เข้าใจว่าเราโกรธหรือเกลียดเขา ถึงต้องแสดงท่าทีเฉยชาใส่ คนเจ็บปวดคนนี้ ก็จะได้มีแรงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง พร้อมที่จะใช้ชีวิตที่เดินบนทางที่เหมาะที่ควร แม้ว่าการเดินทางจะมีอุปสรรคมากบ้างน้อยบ้างก็ตามที

หลังจากที่เราเข้มแข็งได้แล้ว ห้ามใจไม่ได้รักเขาได้แล้ว ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม คิดและรู้สึกกับเขาได้อย่างคนธรรมดาสามัญที่รู้สึกดีต่อกัน ไม่ต้องรู้สึกแบบพิเศษที่แอบแฝงด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา และสามารถอยู่บนโลกใบเดียวกับเขาได้อย่างจริงใจที่สุด เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยไม่ต้องกดดันอะไร

หวังว่าเขาคงเข้าใจในเหตุผลที่เรากระทำลงไป เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่สักพักก็คงจะหายดี แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เทรนด์ใหม่ของชีวิตคู่ แห่งศตวรรษที่ 21



เทรนด์ใหม่ของชีวิตคู่ แห่งศตวรรษที่ 21

ชีวิตคู่กึ่งอิสระ

วิถีชีวิตแต่งงานที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ไม่ได้เป็นหลักประกันความมั่นคงในความรัก และยึดมั่นต่อพันธะสัญญาอีกต่อไป หลายคู่ได้ค้นพบเส้นทางการร่วมชีวิตแบบใหม่ ที่สามารถผสมผสานรักแท้กับเสรีภาพส่วนบุคคลไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มาแรงแซงโค้งชีวิตคู่แบบดั้งเดิม...

นี่คือ "ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" (Semi-Detached Couple)

"ฉันทำงานเป็นที่ปรึกษาการจัดการบริหาร ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสฯ หลังจากเลิกงานฉันจะกลับบ้าน ทำอาหารเย็นให้ตัวเอง จากนั้นก็จะพักผ่อนบนโซฟาตัวโปรด จิบไวน์ ฟังเพลงที่ชอบหรือดูหนังเรื่องโปรดคนเดียว ไม่ต้องพูดกับใครเลย..."

"เมื่อถึงวันศุกร์จะเป็นวันที่ฉันจะพบกับคู่รัก เขาเป็นครู และทำงานหลังจากเลิกงานประจำที่บาร์หรือภัตตาคาร หลังจากนั้นเราจะไปที่บ้านของเขาหรือของฉันก็ได้ เพราะบ้านของเราอยู่ห่างกันแค่ขับรถ 15 นาที เราจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ ใช้เวลาร่วมกันเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่น ๆ เจอเพื่อน ๆ ออกไปดูหนัง และมีเซ็กซ์ด้วยกัน และเมื่อถึงวันจันทร์เราก็แยกย้ายไปทำงาน เลิกงานต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองเราโทรศัพท์คุยกัน อีเมล์ถึงกันทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวัน จนกว่าจะถึงวันศุกร์..."

นี่คือแนวทางการใช้ชีวิตคู่กึ่งอิสระของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง

"งานของฉันต้องการเวลาและการทุ่มเทอย่างมาก คู่ของฉันก็เช่นเดียวกัน ฉันรักเขามากเพราะเขาเข้าใจว่าฉันต้องการเวลาสำหรับทำงาน เวลาสำหรับตัวเองตามลำพังเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ และเขาก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกับฉัน..."

ก่อนหน้าที่หนุ่มรักงานคนนี้ จะได้พบกับคู่รักคนปัจจุบัน เขาเคยมีคนรักมาก่อน แต่ความรักครั้งนั้นจบลงด้วยต่างคนต่างกล่าวหากันและกัน ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รักษาคำมั่นสัญญา และเห็นแก่ตัว

"ผู้หญิงจำนวนมากอาจจะคิดว่าถ้าผู้ชายไม่อยู่กับพวกเธอตลอดเวลา ไม่ร่วมแบ่งปันรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของกันและกัน จะต้องมีอะไรที่ผิดปกติ..."

"เธอเป็นหญิงสาวคนแรก ที่ไม่เพียงแต่เคารพความต้องการเวลาส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่เธอยังเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งทีเดียว ผลของมันน่ะหรือครับ ผมยิ่งรู้สึกว่ามีพันธะสัญญากับเธอมากกว่าที่เคยรู้สึกกับผู้หญิงที่ผ่าน เข้ามาในชีวิตทุกคน..."

ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุดของการมีความรักใช้ชีวิตร่วมกัน "กึ่งอิสระ" ที่คนรักกันสองคนมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คู่สามีภรรยาต้องการ ความรัก เซ็กส์ มิตรภาพและพันธะสัญญา โดยทั้งคู่ไมจำเป็นหรือต้องการเวลาอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน

รูปแบบของการมีชีวิตคู่กึ่งอิสระมิได้กำหนดตายตัว เพราะครั้งหนึ่งวูดดี้ อัลเลน กับมีอาร์ ฟาร์โร ยังมีอดีตอันหวานชื่น ทั้งสองคนแยกบ้านกันอยู่คนละฝั่งเซ็นทรัลพาร์ค หรือกรณีที่เดวิค เบ็คเคมและภรรยาแยกกันอยู่ในสเปน ในลอนดอน หรือนิวยอร์ค บรรดาหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ทุกฉบับ ตีปีกประโคมข่าวอย่างเมามันทำนองว่า การแยกกันอยู่คนละแห่งเป็นสัญญานอันตรายของปัญหาชีวิตคู่ ทั้ง ๆ ที่มันคือ "ทิศทางแห่งอนาคตของการแต่งงานในศตวรรษที่ 21"

ค่านิยมการใช้ชีวิตคู่เยี่ยงสามีภรรยาแบบดั้งเดิม ชี้นำให้ทั้งคู่ควรมีพันธะสัญญาต่อกันชนิด เต็มรูปแบบเต็มเวลา จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จตามมาตรฐาน"ระดับเหรียญทอง" ในขณะเดียวกันอีกหลายคู่ในหลาย ๆ กรณีก็ดำเนินชีวิตคู่กึ่งอิสระได้อย่างวิเศษเหนือคำว่า "ชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์แบบ"

"ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" ดูจะเป็นทางออกที่ตอบสนองสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เสรีภาพ อิสรภาพ ที่เจริญงอกงามพร้อมกับความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ของผู้หญิงทำงานรุ่นใหม่ ๆ

"ในปัจจุบันผู้หญิงจำนวนมาก ไม่ได้ฝากชีวิตและอนาคตทางการเงินไว้ในอุ้งมือผู้ชาย รวมทั้งสถานภาพทางสังคมของพวกเธอด้วย...สาวทำงานเก่งเหล่านี้มองเห็นสาระประโยชน์ของการมีชีวิตคู่กึ่งอิสระ"

แนวโน้มชีวิตคู่เทรนด์ใหม่นี้ ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงชั่วโมงการทำงานมากขึ้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการทำงานในอังกฤษ อัตราการเกิดของประชากรต่ำลง อายุการเป็นแม่ของลูกคนแรกสูงขึ้น อัตราการหย่าร้างสูงขึ้นและการแต่งงานลดน้อยลง ในความเป็นจริงก็คือความสัมพันธ์ของคนเรามีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเราก็มองหาวิธีการใหม่ ๆ ที่เหมาะสมเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ที่คนเรามีต่อกัน

"ในยุคของคนรุ่นเรา การมีชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวมีลักษณะต่อเนื่อง สู่การแต่งงานครั้งที่ 2 และปรากฏการณ์เป็น พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว สัมภาระที่พะรุงพะรังในชีวิตคู่ผัวเมียต้องแบกรับ ไม่ว่าจะป็นลูกติดมา หรือทรัพย์สินเงินทองจากการมีสัมพันธ์ครั้งก่อน ๆ น่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดชีวิตคู่กึ่งอิสระ..."

ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่กึ่งอิสระก็คือ การตรวจสอบความหมายของการอยู่ด้วยกันที่มากกว่าความใกล้ชิด หรือจำนวนเวลาที่คนเราให้กับใครอีกคนหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ให้คำจำกัดความว่า "เป็นความสัมพันธ์แข็งแรงอย่างแท้จริง" ที่คนสองคนยังคงความเป็นปัจเจกของเราไว้ด้วยกัน แจกแจงให้ชัดเจนก็คือ ทั้งคู่สามารถได้รักและได้รับความรักจากกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องพบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งตลอดเวลา

บางทีการมี "ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" น่าจะเป็นหนทางที่สมบูรณ์แบบในการค่อย ๆ เปิดรับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างช้า ๆ เพื่อรักษาคนคนหนึ่งให้ทุเลาเบาบาง เมื่อพบว่าสุดปลายแขนที่ยื่นออกไปเพื่อไขว่คว้านั้น ยังมีใครคนหนึ่งที่คุณสามารถไว้วางใจได้ แต่ความสัมพันธ์แบบคู่กึ่งอิสระนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน มันอาจจะเป็นการอยู่ร่วมกันที่แสนวิเศษ เมื่อพันธะสัญญาของแต่ละฝ่ายไปด้วยกันได้ แต่ทันทีที่ใครคนหนึ่งมีความต้องการมากกว่าอีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาต้องการมีความสัมพันธ์ถาวรขึ้นมา มากกว่าจะรื่นรมย์กับความสัมพันธ์กึ่งอิสระ ประเด็นสำคัญของความสัมพันธ์กึ่งอิสระก็คือ คุณจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ซึ่งมันมีความสำคัญต่อคนสองคนต่างกัน รายละเอียดพวกนี้สามารถขัดขวางความสัมพันธ์คู่แบบอิสระอย่างง่ายดาย

ถ้า "ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" สอนให้เรารู้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีมีคุณภาพ จะต้องมีเสรีภาพรวมอยู่ด้วย มันก็ควรจะสอนให้เรารู้ว่าการมีอิสระเสรีภาพนั้น หมายถึงความมั่นคงทางจิตใจด้วย และเมื่อทั้งคู่ต้องการความสัมพันธ์ชนิดเต็มรูปแบบหรือกึ่งอิสระ ความรู้สึกมีสิทธิและอิสรภาพก็ติดตามเขาไปด้วย พวกเขายังคงมีชีวิตเป็นของตนเอง มีความสนใจและมีเพื่อน ๆ ของตัวเอง พวกเขาอาจจะหลงรักกันและกันอย่างบ้าคลั่ง และจะมีชีวิตร่วมกันจนชั่วฟ้าดินสลาย แต่พวกเขาจะต้องสงวนความสัมพันธ์กึ่งอิสระนี้ไว้ที่มุมเล็ก ๆ ส่วนตัวด้วย

ห่วงมากไป ก็ทำให้เลิกกันได้



ห่วงมากไป ก็ทำให้เลิกกันได้

อยู่ไหน...ไปทำไม...ทำอะไร...กับใคร...กลับบ้านกี่โมง...ทำไมยังไม่กลับอีก ฯลฯ

คำถามยอดฮิตที่มักพรั่งพรูออกมาจากปากแฟนหนุ่ม ก็รู้ค่ะว่าเป็นเป็นห่วงเป็นใย แต่บางทีมันก็มากเกินไปโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว เพราะขณะที่หนุ่ม ๆ เอ่ยปากถามเพียงเพราะเป็นห่วง พร้อม ๆ กับอยากรู้ว่าแฟนสาวกำลังทำอะไรอยู่ ตามวิสัยคนคบหาดูใจเป็นปกตินั้น

แต่บางทีคุณสาว ๆ ก็อดคิดแบบพาล ๆ เหวี่ยง ๆ ไปถึงเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่แฟนหนุ่มไม่มีให้เอาซะเลย ก็แหม...เล่นยิงคำถามซะละเอียดยิบซะขนาดนั้น เผลอ ๆ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลิกรากันได้ง่าย ๆ เพราะการแสดงออกซึ่งอาการเป็นห่วงจนเกินพอดี มันก็สร้างความน่าเบื่อ น่ารำคาญทีละนิด ๆ และสะสมจนกลายเป็นสาเหตุ ๆ หลักในการทะเลาะกันเพราะความไม่เข้าใจ

ทางที่ดีเอาเป็นว่า...ห่วงหากันแบบพอดี ๆ ไม่ต้องเยอะเกินไป หรือน้อยเกินไปซะจนไม่ถามไถ่ -_-' ความรัก...คือการเติมเต็มให้กันและกัน มากไปก็ล้น น้อยไปก็แห้งเหือด ความพอดีคือทางสายกลางที่ทำให้รักยืนยาวที่สุดนะคะ

เนื้อคู่มีมากกว่าหนึ่งคนได้ไหม?


เนื้อคู่มีมากกว่าหนึ่งคนได้ไหม?

ตามโพลสำรวจในปัจจุบัน มากกว่า 70 เปอร์เซนต์ ของผู้อ่านคอสโมฯ บอกว่า มันสำคัญสำหรับพวกเราที่จะได้แต่งงานกับเนื้อคู่ นั่นอาจไม่น่าแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกคือ เกินครึ่งกลับกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้ลงเอยกับเนื้อคู่ นั่นน่าขันมากสำหรับผู้หญิงที่สนุกและปราดเปรียวเหล่านี้ที่กังวลว่า พวกเขาจะไม่สามารถเจอผู้ชายที่เหมาะสมเพอร์เฟ็คจริงๆ แต่เรากำลังสงสัยว่า หรือมันจะมีเหตุผลสนับสนุนความคิดเหล่านี้ คุณจะสามารถมีความผูกพันอย่างโรแมนติกลึกซึ้งเพียงแค่คนเดียว หรือคุณจะสามารถมีความสัมพันธ์ระดับเข้มข้นเช่นเดียวกันได้ กับผู้ชายหลายคนตลอดช่วงชีวิตของคุณ?

"วัฒนธรรมของเราสนับสนุนความ คิดที่ว่าผู้หญิงสามารถมีเจ้าชายรูปงามขี่ม้าขาวได้เพียงคนเดียว และเมื่อเธอพบพวกเขา จะอยู่อย่างมีความสุขตลอดกาล" ศาสตราจารย์โจเซฟ ดรากัน ผู้เขียนหนังสือ "Falling in Love Is Not Enough" กล่าว อย่างไรก็ดีไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่เราสัมภาษณ์สำหรับหัวข้อนี้ จะเชื่อทฤษฏีเรื่องการมีคู่แท้เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือไม่ใช่แค่ทฤษฏีที่ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันสามารถกำหนดชีวิตรักของคุณได้

ความสัมพันธ์หลากหลาย "คุณสามารถตกหลุมรักคนหลายๆ คนในเวลาเดียวกันได้แน่นอน และดูเหมือนว่าคุณจะสามารถตกหลุมรักได้หลายรูปแบบด้วย โดยขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงชีวิตของคุณ" ศาสตราจารย์โจเซฟอธิบาย

ขณะที่คุณเติบโตและ เปลี่ยนแปลงมีประเภทของผู้ชายที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละการเปลี่ยนแปลงของคุณ ดังนั้น คู่แท้ของคุณในวัย 18 ปี กับคู่แท้ในวัย 28 ปี จึงต่างกัน นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ลงเอยกับรักแรกของพวกเขา

การที่เชื่อว่ามีคู่แท้เพียงคนเดียวนั้น โรแมนติกจริง แต่การยึดติดกับแนวคิดที่ว่ามีคู่แท้ได้เพียงคนเดียว อาจทำให้คุณพลาดผู้ชายดีๆ หลายคน ขณะที่มัวแต่รอคนๆ นั้น เติมเต็มตัวคุณ

คุณจะสามารถทนอยู่กับบางคนที่ไม่ควร เพียงเพราะคุณกรอกหูโน้มน้าวใจตัวเองให้เชื่อว่าเขาคือคู่แท้คนนั้น เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายในความสัมพันธ์ที่กำลังจะเริ่มจริงจัง เมื่อคุณตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น

"ส่วนผสมที่นำคุณมาอยู่รวมกันได้อย่างกลมกลืนนั้น ความหลงใหลและลุ่มหลงไม่ใช่สิ่งเดียว (ส่วนผสมเดียว) ที่ทำให้คุณอยู่ร่วมกันได้" ศาสตราจารย์ ไมเคิล บรอเดอร์ ผู้เขียนหนังสือ "Can You Relationship Be Saved?" กล่าว การหาคู่แท้ไม่ใช่แค่ประสบการณ์การอยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหน ทำกิจกรรมเพียงแค่ช่วงสองสามเดือนแรก มันเกี่ยวกับการมีความรู้สึกเชื่อมโยงสัมพันธ์กับบุคคลที่คุณสามารถไว้วาง ใจได้ และสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่

ให้ความคิดนี้เป็นเพียงนิยาย ลองจินตนาการ ลองจินตนาการถึงเนื้อคู่ที่เป็นเศรษฐีพันล้าน โครงหน้าเหลี่ยมสวย การกำหนดอะไรไว้เป็นการจำกัดโอกาสในการเจอรัก "โรคคลั่งคู่แท้ เกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามสร้างสเป็คของชายในฝันไว้ในหัว" ศาสตราจารย์ไมเคิลกล่าว "มันได้สร้างมาตรฐานที่ไม่วันหาเจอได้"

ผู้หญิงที่มักวาดภาพคู่แท้ไว้ในใจ เพื่อให้มาเป็นคู่ชีวิตส่วนใหญ่แล้วแน่นอนว่าไม่เจอชายคนนั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า น้อยมากถึงมากที่สุดที่ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น และหากปาฏิหาริย์มีจริง เธออาจจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีสวยงามตลอดไปก็เป็นได้

การอยู่ที่ความพอดีคือกุญแจ สำคัญ อย่ารีบกำหนด ติดฉลากบอกยี่ห้อเป็นเจ้าของที่เข้าข่ายเป็นเนื้อคู่การจินตนาการถึงคู่แท้ที่สุดยอดเพอร์เฟ็คนั้น น่าตื่นเต้น เพราะในความเป็นจริงแล้วมันน่าตื่นเต้นกว่าเยอะที่คุณจะได้รู้ว่าใครกันแน่ ที่เหมาะสมกันจริงๆ

รู้อะไรกันมากเกินไป รู้แล้ว...ต้องปล่อย



รู้อะไรกันมากเกินไป รู้แล้ว...ต้องปล่อย

เวลาคนสองคนคบกัน รู้ใจกัน และรู้เห็นในส่วนที่ไม่ดีของกัน นานวันเข้า ความรู้สึกที่รู้มากเกินไปนั้น มันบ่อนทำลายความรักของคนสองคนให้สั้นลง ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แปลกแต่จริง ที่การรู้อะไรมากเกินไป ก็ทำให้สีสันของความรักลดน้อยถอยลงไป พอรู้แล้วก็ดักทางกันได้หมด จนมันไม่มีแรงกระตุ้นให้เรารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ และไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรพิเศษ ๆ แถมยังจะเผลอใจให้ออกนอกลู่นอกทาง เพื่อหาสีสันใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่า นี่กำลังทำให้ "ความรัก" แย่ลงไปกว่าเดิม

หากปล่อยทิ้งไว้นานแบบนี้ คนที่จะทำลายความรักให้พังพินาศเร็วขึ้น ก็คือตัวเราเอง โทษฐานรักเดิมก็ยังทำได้ไม่ค่อยดี แต่ริจะมีสีสันใหม่ ๆ พอใจอยากแสวงหาอะไรใหม่ ๆ มันก็ไม่หยุดนิ่งอยู่ที่คนเดิม ๆ แถมยังมองหน้าคนเดิม ๆ ไม่สนิทใจไปอีกด้วย

การคบกันไปวัน ๆ สุดท้ายก็คือการคบกันไปวัน ๆ หากเราปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ หากใจยังคิดถึงสิ่งเร้าใหม่ ๆ แบบนี้ ใจก็จะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ และไม่อาจจะอยู่กับคนที่เรารักได้เลย เมื่อใจไม่อยู่กับคนที่เราเลือกแล้วว่าเขาคือ "คนรัก" ความรักก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติ ที่เราจำต้องฝืนทนอยู่

สมมุติว่า...ยังรักกันอยู่
สมมุติว่า...ยังมีใจให้กันอยู่
สมมุติว่า...ยังคบกันต่อไปได้อยู่
พอเราอยู่กับสิ่งสมมุติมากเข้า ๆ ใจเราจะร้อน และทนอยู่กับสภาพแบบนี้ไม่ได้เลย

"การรู้อะไรมากจนทำให้สีสันหมด แถมยังหมดแรงกระตุ้นความชุ่มฉ่ำใจ เราต้องทำเป็นไม่รู้อะไรเสียบ้าง"

อย่ากักขังสิ่งที่เราได้เรียนรู้จนหมดสิ้น แล้วเก็บไว้กับัว มันจะหนักหัวเปล่า ๆ เราต้องปล่อยทิ้งไป เพื่อที่เราจะได้เป็นแก้วน้ำเปล่าหนึ่งใบ ที่รอการเติมเต็ม เพราะความรักต้องการการเติมเต็ม มากกว่ารู้ไส้รู้พุงแล้วไม่คิดเติมอะไรให้กันอีก

เห็นคู่รักที่อยู่กันได้นานหลายคู่ เขาก็ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมาย รู้ไส้รู้พุงกันหมด แต่ก็ยังอยู่กันได้ เพราะเขาทั้งคู่เชื่อว่าจะทำให้ความรักมันยังไปต่อของมันได้ และเมื่อเห็นสีสันอื่น ๆ เป็นเพียงแค่สิ่งล่อตา ที่ล่อลวงเอาใจของคนสองคนไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

หากใครกำลังรู้สึกเฉย ๆ กับคนรัก และอยากจะโผบินออกไปบนโลกกว้าง ให้นึกเสียว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาด มันก็เป็นธรรมดาของคนที่ไม่อยากหยุดนิ่งอยู่กับที่ อยู่ที่ไหนนาน ๆ เราก็เบื่อ อยู่กับใครนาน ๆ เราก็หน่ายสีสันของชีวิตหายไปตามกาลเวลา ขนาดรูปถ่ายนานเข้าสียังซีดจาง แล้วนับประสาอะไรกับใจคน

แต่ "ใจคน" นี่แหละ ที่ทำร้าย "ใจของอีกคน" ได้โดยง่าย ลองคิดดูว่ามันจะใจร้ายกับเขามากเกินไปหน่อยไหม หากเรารู้อะไรของเขามากจนไม่อยากจะรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ใจต้องมองให้เห็นด้านดี ๆ อีกด้านของเขาเหนือกว่า อะไรที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้ว มันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้ก็เป็นได้ อะไรที่เรารู้สึกว่าหมดสนุก ไม่มีอะไรน่าค้นหา บางทีมันอาจจะยังมี เพียงแต่คนสองคนต้องช่วยกันกระตุ้นมันให้ตื่นขึ้นมา

"ตื่นขึ้นมา เพื่อจะพบว่าตัวเองได้ปล่อยสิ่งที่รู้ให้ไหลไปกับสายน้ำ และมีเครื่องหมายคำถามแปะไว้ที่ใบหน้าของเขา เพื่อที่เราจะได้อยากค้นหา สนุกกับการค้นหา และได้เจออะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา จากคนรักคนเดิม"

4.08.2011

เครื่องมือสำหรับรัก คือการทำความเข้าใจ



เครื่องมือสำหรับรัก คือการทำความเข้าใจ

คนสองคน...ต่างที่มา ต่างพื้นฐานทางครอบครัว ต่างความคิด ต่างนิสัย ต่างทัศนคติ ต่างความชอบ ฯลฯ แต่สามารถ "จูน" กันได้ "เข้ากันดี" หากมีคำว่า "ความเข้าใจ"เป็นสายใยถักทอให้ "ความรัก" สมหวังและมีความสุข

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิด "การไม่เข้าใจ" ความต่างทั้งหลาย จะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาพังทลายกลายเป็นเส้นใยบาง ๆ กั้นกลางระหว่างสองเรา ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับ "ความรัก" ของคุณทั้งคู่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการพยายามมองด้วยความเข้าใจ ถึงแม้ว่า "การทำความเข้าใจ" ในความรักเป็นเรื่องยาก (มาก) ก็ตาม

เครื่องมือที่สำคัญสำหรับ "ความรัก" คือ "การทำความเข้าใจ" ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าใจกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคความต่างมากน้อยแค่ไหน คุณทั้งคู่ก็สามารถผ่านมันมาได้ เชื่อเถอะว่า...

รัก...คือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
รัก...คือการปรับตัวเข้าหากันและกัน
รัก...คือการเสียสละให้กันและกัน
รัก...คือการยอมรับซึ่งกันและกัน
รัก...คือความรู้สึกดี ๆ ที่คนสองคนมีให้กันและกัน
รัก...คือความเข้าใจที่มอบให้กันและกัน
รัก...คือการให้อภัยแก่กันและกัน

ที่สำคัญ "ความรัก" ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มันถึงมีค่าและงดงามอยู่ในตัวเองเสมอ แต่ความรักจะดำรงอยู่ได้...ขอเพียงแค่ "เข้าใจกัน" ในกันและกันเท่านั้นก็พอ ^__^

4.07.2011

คติ…เธอทำได้ ฉันก็ทำได้ ใช้ไม่ได้กับความรัก



คติ…เธอทำได้ ฉันก็ทำได้ ใช้ไม่ได้กับความรัก

ถ้าการเอาชนะกัน มันไม่ได้ลงเอยด้วย "ความสบายใจกันทั้งสองฝ่าย" ก็อย่าอยากเอาชนะกันเลย อย่าคิดว่า "เธอทำได้ ฉันก็ทำได้" เพื่อประชดกันให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด เพราะมันคงไม่มีค่าอะไร หากการประชดประชันกันไม่ได้ทำให้ความรักประสานรอยร้าวได้เร็วขึ้น

คนที่ "ยอมแพ้ก่อน" ต่างหาก คือผู้ชนะที่แท้จริง ยอมแพ้...เพราะแคร์ความรัก ไม่ใช่ยอมแพ้เพราะเป็นคนขี้แพ้

คู่ไหนที่บ้าศักดิ์ศรี มักทำตัวเป็น "คู่รบ" มากกว่า "คู่รัก" วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไร รบกันอยู่นั่นแหละ ถ้าแฟนสร้างปัญหาให้ต้องเสียใจ แทนที่จะปรับความเข้าใจกัน กลับสวมชุดออกรบพร้อมเอาคืนให้สาสม เมื่อเราไม่สามารถประคับประคองความสัมพันธ์ให้สงบสุขได้ วันหนึ่ง...สงครามนั่นแหละจะเป็นตัวทำลายล้างทุกอย่างจนพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี

"ความรู้สึก" เป็นเรื่อง "สำคัญ" แค่ความรู้สึกเปลี่ยนนิดเดียว ชีวิตก็สามารถเดินผิดทางได้ หากเราเผลอทำร้ายความรู้สึกกันล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น

บางคนเลือกใช้วิธี "ควงคนอื่น" เพื่อให้แฟนตัวเองรู้สึกเจ็บปวดกับภาพที่เห็น เมื่อแฟนเที่ยวหนัด กลับบ้านดึก ก็ลงทุนย่ำราตรีประชดกันว่าฉันก็มีสิทธิ์ทำอะไรได้เหมือนที่เธอทำ ยิ่งยั่วกัน...ความรุนแรงก็ยิ่งด่อตัวเพิ่มขึ้ บางครั้งฝึกมองเรื่องยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย ๆ บ้างก็ดี อย่าไหลไปตามกระแส หากโกรธกันหรือมีอะไรที่ไม่พอใจกัน ก็ "ปรับความเข้าใจกัน"

ถ้าชนะแล้วเจ็บปวด
ยอมแพ้ดีกว่า ถ้าชนะแล้วมีอีกคนต้องร้องไห้

ถ้าหากการผู้ชนะมีรางวัลเป็นความโดดเดี่ยว เป็นใครก็คงไม่ต้องการ อย่าเสี่ยงที่จะเสีย "ความรัก" ไปง่าย ๆ เพียงเพราะศักดิ์ศรีที่ "ไม่มีใครยอมใคร" อีกต่อไปเลย "ศักดิ์ศรี" ใช้กับบางเรื่องได้ แต่ถ้าจะใช้ศักดิ์ศรีมาเอาชนะกัน เท่ากับได้รางวัลเป็นความพ่ายแพ้

แค่เปลี่ยนความรู้สึก...ชีวิตก็เปลี่ยน เปลี่ยนจากผู้ชนะ มาเป็นผู้แพ้ อาจมีความสุขมากกว่าหลายเท่า

หนุ่มที่ไม่ควร คว้ามาเป็นแฟน




หนุ่มที่ไม่ควร คว้ามาเป็นแฟน

เวลาผู้หญิงเมียงมองหาแฟน มักฝันอยากได้ที่มีความจริงใจ… เป็นมิตร… เป็นที่พึ่งพาได้… พูดคุยกันรู้เรื่อง และซื่อสัตย์รักหล่อนคนเดียว แต่... จะมีซักกี่คนเชียวที่หาแฟนได้อย่างนี้ฮึ!! สาวๆ พลาดไม่ได้ "สัญญาณ" ต่อไปนี้แหละ จะช่วยให้รู้ว่าคนหยั่งงี้ไม่ควรคว้ามาเป็น "แฟน" ให้เหนื่อยใจเด็ดขาด... นั่นคือ

1. หนุ่มหน้าพระเอก แถมหุ่นนายแบบ แต่ใจแบบมหาโจร... อุ้ย น่าเป็นแฟนด้วยรึ?

แค่คบไว้ควงไปยืดกับเพื่อนๆ ในก๊วนยังพอไหว หรือคบแบบขำๆ เอาไว้โอ้อวดล่ะได้ แต่ไม่ควรสุงสิงมาก เพราะหล่อนจะรู้ได้ไงว่า เมื่อไหร่เค้าจะสวมวิญญาณอาชญากรหรืออันธพาลขึ้นมา? คนหยั่งงี้มีแต่จะทำให้สาวๆ ร้อนรุ่มกลุ้มใจ และตำหนิตัวเองว่า โธ่เว้ย... ทำไมตูถึงซวย อย่างนี้นะ นึกว่าโชคดีที่ได้แฟนหล่อเลิศประเสริฐศรีกว่าใครๆ แล้วเชียวนะ... แต่เผอิญ "หล่อ" กินไม่ได้ซะด้วยสิ อิอิ

2. หนุ่มคารมเป็นต่อ แต่นอกจากนั้นกลับไม่เอาไหนสักอย่าง... แล้วจะดีรึ?

ต่อให้มธุรสวาจาที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอันชวนจูจุ๊บของเค้า ทำให้เคลิ้ม จนฝันดีกับคำหวานๆ ลึกซึ้งกินใจแถมยังป่วนอารมณ์รักให้คึกคักด้วยอีก โถ... แบบนี้น่าคบจะตาย แต่เมื่อพิจารณาหาข้อดีในด้านอื่นของเค้ามาประกอบ กลับไม่มีอะไรชวนปลื้มเลยสักอย่าง เช่น เป็นคนเอื่อยเฉื่อย และสโลโมชั่น ไม่แอ็กทีฟ แถมทำงานก็ย่ำอยู่กะที่ งั้นสู้ไปหาคนอื่นเอาดาบหน้าเถอะ เผื่อจะมีดีอย่างอื่นมั่ง

3. หนุ่มมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวสูง จนไม่ยอมโตสักที... จะดีรึ?

บอกแล้วไง ว่าต่อให้เป็นสาวมั่นขนาดไหน เธอย่อมอยากได้แฟนที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่า มีสติและความรับผิดชอบมากกว่า แม้ทั้งสองจะอายุเท่ากันก็เหอะ ทว่าในชีวิตจริงหนุ่มในวัยใกล้เคียงกับพวกเธอกลับไม่ยอมโต และไม่พร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่เป็นแก่นสาร ที่จริงถ้าหนุ่มรายนั้นเป็นคนสนุกสนานขี้เล่นก็ดีน่ะซี เพราะผู้หญิงอยากมีแฟนอารมณ์ดี แต่ถ้าเค้าเห็นอะไรเป็นเล่นไปซะหมด แล้วคิดดูดิว่า คนภายนอกจะมองคุณทั้งคู่เป็นคู่รักเรอะ... ไม่จริงมั้ง คนอื่นจะมองว่าเป็นคู่พี่สาว - น้องชายมากกว่าอ่ะดิ โธ่... แล้วสาวๆ จะยอมหรอกเรอะ

4. หนุ่มที่คิดถึงเหล้ามากกว่าแฟน... ไม่น่าอยู่ด้วยหรอก

ขืนมีแฟนชอบดื่มสุราเมรัยทั้งวี่ทั้งวัน คงเกาหัวแคล่กๆ เก็กซิมชีชํ้ากะหล่ำปลีไปเลย เพราะชีวิตคู่จะราบรื่นได้ไง ถ้าขยันเอาเงินไปจมกับเหล้า แทนที่จะดื่มนมหรือน้ำผลไม้ ซึ่งให้ประโยชน์ซะกว่า ก็เท่ากับเอาเงินไปเททิ้งล่ะว้า คงรวยตายชักเลยนะหนุ่มแบบเนียะ (ประชดนะยะ)

5. ชอบใช้กำลัง และเห็นสาวๆ เป็นกระสอบทราย... เดี๊ยนเป็นคนนะไม่ใช่สิ่งของ!

รับรองไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากโดนแฟนของตัวน็อกเอาต์ ลงไปนอนนับดาวแอ้งแม้งอยู่บนพื้นหรอก เพราะผู้หญิงดีๆ ไม่นิยมความซาดิสต์ แล้วจู่ๆ จะอยากเจ็บตัวไปทำไม ถ้าแฟนของเธอกล้าลงไม้ลงมือทำให้หล่อนมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ละก็ นี่ไม่ใช่แค่ทำให้หล่อนเจ็บตัวเท่านั้นนะ แต่ยังเจ็บใจอีกด้วย แล้วกว่าจะรู้ว่าหนุ่มรายนี้มือหนักหรือเบา คงต้องลองคบกันมาบ้างแล้ว เพราะแค่รู้หน้า จะไปรู้ใจได้ไงว่าเข้าเกณฑ์ที่ว่านี้รึเปล่า แหม... เคยอยู่ค่ายมวยมาก่อนก็ไม่ยอมบอกกันแฮะ

6. หนุ่มหลงวัตถุมากกว่าฝ่ายหญิงซะอีก... แล้วอยากคว้ามาเป็นแฟนอีกเรอะ?

ขนาดผู้หญิงขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นพวกวัตถุนิยมหรือแมทเทียเรียลเกิร์ล แต่บางทียังสู้ผู้ชายที่เป็นพวกคลั่งวัตถุนิยมคล้ายกันจนไม่ติดฝุ่นก็ได้ เอ้า! สมมติว่า เค้ายอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเสื้อผ้าหรูหราชั้นดีมาใช้ ตอนแรกๆ ผู้หญิงคงแฮปปี้สิว่า เออถ้ามีแฟนเป็นพวกเดียวกันก็ดีไปอย่าง เผื่อเค้าจะได้พิถีพิถันเรื่องข้าวของเครื่องใช้ของแฟนสาวด้วย แต่ถ้าความคลั่งไคล้ของเค้าไม่มีเหลือเผื่อใครล่ะ โอ้แม่เจ้า ขืนเจองี้มีหวังหล่อนกรี๊ดสลบแน่ เพราะหนุ่มที่เป็นงี้มีแนวโน้มชอบมองกระจกบ่อยกว่าสาวๆ ซะด้วย ขืนสำอางกว่านี้อีกนิดก็โป๊ะเชะ เกย์ชัดๆ

7. พวกบ้างานเป็นชีวิตจิตใจ... ก็ไม่เข้าท่าเช่นกัน

แม้คุณสมบัติของผู้ชายรักงาน จะเป็น 1 ในหลายๆ อย่างที่สาวๆ อยากให้แฟนของเธอมี แต่เชื่อดิ ถ้ารักงานจนออกนอกหน้า หายใจเข้าก็เรื่องงาน หายใจออกก็ไม่พ้นเรื่องงานอีก เอ๊ะ จะเอาเวลาที่ไหนให้แฟนล่ะเนี่ย แต่พูดงี้ไม่ใช่หนุนให้มีแฟนที่ไม่คำนึงถึงงานการเอาซะเลยนะ เพราะถ้าไม่ทำงานแล้วมาเกาะสาวกินคงยิ่งแย่กว่าบ้างานซะอีก งั้นขอให้คนที่มาเป็นแฟนรู้จักเดินทางสายกลาง คือ เวลางานก็ทำไป แต่เวลาพักก็ให้รู้จักเวล่ำเวลามาอ้อนเรามั่ง หยั่งงี้ถึงค่อยน่ารักหน่อย การรู้จักแบ่งเวลาให้เป็นนี่แหละคือหัวใจของการครองคู่ล่ะ

แต่สาวๆ รู้ใช่ม้า... ว่าคนเราใช่ว่าจะแสบสันไปซะหมด ดังนั้น อย่าเพิ่งปิดประตูหัวใจ จนกว่าจะได้เจอคนที่ถูกใจ เพราะหลังจากนั้น เชื่อดิ วันๆ จะยิ้มไม่หุบเชียวนะฮ้า… “^_^”

8 อารมณ์ด้านมืด ที่บ่อนทำลายชีวิตรัก



8 อารมณ์ด้านมืด ที่บ่อนทำลายชีวิตรัก

เราทุกคนต่างมีด้านของอารมณ์ที่ไร้เหตุผลและบ่อนทำลายตัวเอง และด้านมืดนี้อาจทำลายชีวิตคู่ของคุณในแบบที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ และนี่คือลักษณะที่พบกันบ่อยที่สุด ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อสัมพันธภาพของคุณได้

1. คุณชอบนับแต้ม การแข่งขันสามารถทำให้ชีวิตรักกลายเป็นสนามรบอันเลวร้ายได้อย่างรวดเร็ว คุณจะเป็นผู้ชนะได้อย่างไร ถ้าต้องจ่ายด้วยราคาที่ทำให้คนที่คุณรักต้องเป็นผู้แพ้ สัมพันธภาพที่แข็งแกร่งต้องสร้างอยู่บนความเสียสละและความห่วงใยกัน ไม่ใช่ด้วยอำนาจและการควบคุม การแข่งขันอาจทำให้ความรื่นรมย์ ความมั่นใจและความงอกงามหดหายไปจากสัมพันธภาพ

2. คุณชอบจับผิด ไม่มีอะไรผิดกับการวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์หรือชี้แนะ เพื่อให้สัมพันธภาพดีขึ้น แต่บ่อยครั้งมันมักกลายพันธุ์เป็นเรื่องของการจับผิด ที่คุณหมกมุ่นอยู่กับข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบ แทนการหาคุณค่าในตัวของคุณ เลิกตามจิกเขาเสียที แล้วคุณจะเห็นอะไรที่ดีๆ ในตัวเขามากขึ้น

3. คุณต้องถูกเสมอ ถ้าคุณคิดเช่นนั้น ก็เท่ากับคุณพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตาย และจนกระทั่งสัมพันธภาพของคุณต้องสิ้นสุดลงไปด้วย

4. คุณชอบโจมตี เวลาเถียงกันทีไร คุณก็จะกลายเป็นนักฆ่าขึ้นมาทันที ด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำอันเชือดเฉือน มันอาจได้ผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่เป้าหมายของการโจมตีกันนี้ จะกลายเป็นความขนขื่นและขุ่นข้องหมองใจ และทำให้มันยากขึ้นที่จะแก้ไขผลเสียที่ตามมา

5. คุณไม่จริงใจ เพราะคุณขาดความกล้าที่จะตรงไปตรงมาในสิ่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด และปัญหาในสัมพันธภาพของคุณ คุณวิจารณ์คู่รักของคุณในเรื่องหนึ่ง ทั้งที่คุณไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจในอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า สิ่งที่เป็นจริงไม่เคยถูกเผยออกมา และสิ่งที่พูดออกมาก็ไม่เคยเป็นเรื่องจริงประเด็นที่แท้จริงจะค่อยๆ ระเบิดออกมาในท้ายที่สุด ในแบบที่เลวร้าย

6. คุณไม่เคยให้อภัย คุณเก็บกักตัวเองอยู่กับความเจ็บปวดและขมขื่น และพลังงานในแง่ลบก็อาจอัดแน่นอยู่ในทุกมุมของหัวใจ ถ้าคุณกลืนความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้และปฏิเสธที่จะให้อภัย คุณก็จะทำลายชีวิตทั้งของตัวเองและสัมพันธภาพของคุณ คุณไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่คุณสามารถรับมือกับผลของความรู้สึกและความเจ็บปวดได้ด้วยการให้อภัยอย่างแท้จริง

7. คุณถมไม่เต็ม คุณดูจะไม่เคยได้รับความพึงพอใจความรัก ความใส่ใจมากพอหรือเปล่า คู่ของคุณจะหงุดหงิดที่ดูเหมือนจะไม่เคยเติมเต็มคุณได้เลย และความกระหายที่ไม่เคยเต็มอิ่มจะทำให้คู่ของคุณไม่เคยได้หยุดพัก ปล่อยตัวเองจากความรู้สึกไม่เพียงพอ และหาหนทางอื่นที่จะรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองเสียก่อน

8. คุณยอมแพ้ เมื่อมีแต่เรื่องเลวร้ายล้อมรอบชีวิตของคุณ คุณอาจนึกหาทางออกไม่เจอ คุณจะสิ้นหวังเหงาหงอย และเชื่อว่าคุณติดกับดัก จงเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาแทนที่จะยอมแพ้

เหตุผล ทำไมคุณไม่มีความรัก



เหตุผล ทำไมคุณไม่มีความรัก

สาวโสด หนุ่มโสด ทั้งหลายโปรดอ่านจ้า… คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมคุณถึงไม่มีความรักกับเขาสักที อ่ะ อ่ะ อยากรู้ใช่ไหมล่ะ แล้ววันนี้เราก็มีคำตอบมาเฉลยให้แล้ว อยากรู้คลิกอ่านเลยค่ะ

1. หลงใหลกับสิ่งไม่แท้จริง

ถาม ตัวเองดูนะว่าคุณละเลยความจริง ความสวยงามแท้จริง ชีวิตในด้านลึกหรือเปล่า วัน ๆ มัวแต่เสพสิ่งต่างๆ ทั้งข้าวของต่างๆ ที่เราพากันอยากได้ จนทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องจิตใจกันไป นานเข้าก็เบื่อ เบื่อโน่นเบื่อนี่รวมทั้งเบื่อการต้องไปเดทด้วย ก็เลยทำให้คุณไม่อยากไป แล้วอย่างนี้จะมีความรักได้อย่างไรกันล่ะคะ หันกลับมาสนใจกับชีวิตในความเป็นจริงกันเถอะค่ะ

2. ไม่เข้าใจเพศตรงข้าม

เดี๋ยวนี้เรื่องความเท่าเทียมกันของผู้หญิงผู้ชายมาแรงมาก ใคร ๆ ก็พูดกันถึงแต่เรื่องนี้ ผู้หญิงทำงานเก่งขึ้นทุกวัน บางครั้งมันเลยทำให้เราขาดความเคารพในความแตกต่างของเพศหญิงและชายไป เรามองข้ามไปว่าหญิงและชายสามารถสร้างความรัก ความรวมกันเป็นหนึ่งได้เมื่ออยู่ด้วยกัน ความห่างระหว่างเพศสูงขึ้นเรื่อยๆ เราเลยอาจรู้สึกว่า "ฉันเจ๋งกว่าเธอ" หรือ "ผู้ชายไม่มีวันทำให้ฉันมีความสุขได้หรอก" เราก็เลยไม่เปิดรับเพศชายเข้ามาในชีวิตเสียที เอาล่ะ เรายอมรับกันได้ในส่วนหนึ่ง แต่โดยเนื้อแท้อย่าลืมว่าผู้ชายเกิดมาเพื่อปกป้องผู้หญิง ให้เขาทำหน้าที่ของเขาเถอะนะ

3. ฉันอยู่คนเดียวได้

คุณอาจรู้สึกว่าก็ไม่เห็นจะต้องการใครในชีวิตเลย ถ้าเราต้องการใครมาให้ความรัก อยู่ข้าง ๆ เรา หรือคอยปลอบใจเรานั่นหมายถึงว่าเราเป็นผู้หญิงอ่อนแอ และมันเหมือนเป็นบัญญัติของสังคม ที่คอยบอกเราตลอดว่าผู้หญิงอ่อนแอน่ะ เป็นสิ่งไม่ดี คุณก็เลยพยายามทำตัว โอเคว่าฉันเข้มแข็ง ไม่มีใครฉันก็อยู่ได้ต่อไป แต่ในที่สุดก็รู้สึกเหงาจนได้

4. ไม่กล้าเปิดใจ

ความไร้เดียงสาอย่างหนึ่งของคนเราก็คือ เวลาเราได้เปิดใจ เปิดเผยความรู้สึกลึกๆ กับใคร มันอาจเป็นความกลัวที่สุดที่ซ่อนอยู่ก็ได้ แต่ทุกวันนี้พวกเรากลับเลือกปิดกั้นความรู้สึกจริงๆ ตรงนั้นไว้ พยายามทำตัวปกติ และนั่นล่ะเป็นตัวทำลายวิญญาณที่แท้จริงของเราไป ก็ในเมื่อเราไม่เปิดใจก่อน แล้วใครเขาจะมาเข้าใจ เขาจะก้าวเข้าสู่ความเป็นคุณได้อย่างไรล่ะ

5. ตัดสินคนง่ายไป

"โอ้ย! แค่สิบห้านาทีฉันก็รู้แล้วว่าหมอนี่เป็นคนยังไง" ประโยคนี้คุ้นๆ กับคุณไหม ทุกครั้งที่คุณเจอชายหนุ่มคุณจะกำลิสท์ความต้องการในตัวชายหนุ่มของคุณในมือไว้ตลอด และมันยังเป็นความต้องการที่ต่อรองไม่ได้ด้วยนะ เช่น เขาจะต้องเป็นผู้ชายสูง เขาจะต้องจบปริญญาโท เพียงแค่เขาไม่มีคุณสมบัติตามลิสท์คุณ คุณก็จะบอกว่า "ไม่เอาแล้ว คนนี้ไม่ใช่แน่นอน" คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีมุมมองความรักเป็นยังไง เขามองโลกยังไง เขาอาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดของคุณก็ได้ การที่เราไปตัดสินคนอย่างรวดเร็วเนี่ย ก็เหมือนคุณสร้างกำแพงให้ตัวเองนั่นแหละ มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุดเพื่อคุณจะได้ป้องกันได้ว่าเขาจะไม่ตัดสินคุณไปก่อนไง คุณจะไดไม่ต้องรู้สึกแย่กับตัวเอง

6. ความสัมพันธ์ฉันต้องดีที่สุด

คุณอาจจะมีความสุขในงานที่ทำ คุณประสบความสำเร็จในชีวิต คุณมีครอบครัวที่อบอุ่นมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องตั้งความหวังว่าความสัมพันธ์คุณจะต้องดีมากๆ ผู้ชายคนนั้นจะต้องเพอร์เฟคสุดๆ ไปด้วย เพราะลองถามตัวเองจริงๆ คุณอาจได้คำตอบว่างานที่ฉันทำก็ไม่ได้ดีที่สุดกว่าคนอื่นตรงไหน ฉันเองก็ไม่ได้มีชีวตสมดุลไปซะทุกอย่าง และที่สำคัญฉันก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงเพอร์เฟคที่สุดซักหน่อย เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมองหาแต่สิ่งที่ดีที่สุด ลองเปลี่ยนเป็นมองสิ่งที่ดีเฉยๆ ก็พอดีมั้ย และใครจะรู้ สิ่งนั้นล่ะอาจะเป็นความมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตคุณก็ได้
7. จะมีความรักต้องพร้อม

อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณไม่มีความรักก็อาจเป็นเพราะว่า คุณมักรอให้ความรักเข้ามาตอนที่คุณต้องพร้อมในทุกด้านก่อน คุณต้องรอเวลาให้เรียนจบ มีอาชีพที่ดี และมีความเป็นอยู่แบบที่คุณอยากจะเป็น เหล่านี้จะมาก่อนความรักของคุณ ลองมองย้อนไปที่ความรักของพ่อแม่เราดูสิ ว่านั่นน่ะเป็นความรักที่เกิดขึ้นผิดเวลาก็ได้ ผิดสถานที่ก็ได้

อย่าทำร้ายความรักของคุณด้วยคำว่า "เบื่อ"



อย่าทำร้ายความรักของคุณด้วยคำว่า "เบื่อ"


ทำยังไงไม่ให้ "เบื่อ"

1. ความเชื่อใจกัน

ความเชื่อใจนี้ถือเป็นการให้เกียรติ และการยอมรับในความต้องการที่แตกต่างของกันและกัน หมายถึงทั้งคู่ต้องไม่โกหก หลอกลวง และจะไม่พูด หรือทำสิ่งใดที่ทำให้อีกคนต้องเสียใจ หรือเป็นการ ทำลายชีวิตคู่

2. การรักษาสัญญา

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตแต่งงาน เมื่อคุณได้ให้สัญญาต่อกัน สัญญานั้นเปรียบเสมือนเกราะป้องกัน ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความรักของคุณได้ "จะรักคุณไม่ว่ายามเจ็บหรือยามสบาย จะรักคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่" คำสัญญานี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจากกันไปเท่านั้น การรักษาคำมั่นสัญญานอกจากจะช่วยให้คุณทั้งสองสามารถผจญกับอุปสรรคต่าง ๆ จนไปถึงเป้าหมายสูงสุดได้แล้ว มันยังช่วยให้คุณดิ่งลงสู่ก้นเหวแห่งความทุกข์..เพราะคุณผิดคำสัญญานั้น

3. มีทักษะความชำนาญ

ชีวิตแต่งงานเป็นการที่คนทั้งสองตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ คุณต้องสามารถแสดงออกว่าต้องการอะไร รู้จักรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ดี สามารถไกล่เกลี่ยต่อรองได้ แก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้ ให้ความสนใจที่จะพูดคุยกัน และแน่นอน คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะทำมาหากินอะไร และรู้วิธีทำอาหาร วิธีดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสำคัญที่สุด วิธีการเป็นพ่อเป็นแม่คนที่ดีเขาทำกันอย่างไร

4. การเอาใจใส่ดูแล

วิธีทะนุถนอมให้ชีวิตคู่ยืนยาวนั้นคุณต้องรู้จักวิธีเอาอกเอาใจกันบ้าง บางคู่แค่มองตาก็รู้ว่าต้องการอะไร และจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบ และจะไม่ทำอะไรที่เขาไม่ชอบให้ขุ่นเคืองใจ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้คุณเป็นคู่ชีวิต

5. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา

"จงทำกับคนอื่นเหมือนกับที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ" หมายความว่า การจะทำสิ่งใดก็ตาม ให้คุณคิดก่อนว่าเมื่อทำแล้วจะทำให้เกิดผลดีผลเสียกับใครหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็อย่าทำ เพราะคุณคงไม่อยากให้ใครมาทำแบบนั้นกับคุณเหมือนกัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณทำอะไรที่จะทำร้ายจิตใจคนที่คุณรักแล้ว ยังเป็นเหมือนตาข่ายที่จะช่วยกลั่นกรองให้คุณทำหน้าที่สามีหรือภรรยาที่ดีได้สำเร็จอีกด้วย

6. ความเพียร

จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อใจได้ รักษาสัญญา มีความรู้ มีทักษะ และรู้วิธีดูแลเอาใจใส่ แต่ไม่ได้ใช้มัน การที่ชีวิตคู่จะอยู่ดีมีสุขได้คุณต้องใช้ความพยายามในทุก ๆ ด้าน ตลอดทั้งชีวิตของคุณทีเดียว

7. การคาดหวัง

เหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้คู่สามีภรรยารู้สึกว่าชีวิตแต่งงานของตัวเองล้มเหลว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูงมาก เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะวาดวิมานในอากาศถึงความสุขีสุโขกับชีวิตคู่ โดยคาดหวังว่าคู่ของตัวจะต้องเลิศเลอเพอร์เฟค เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดี เป็นตู้ ATM ให้กดได้ตลอดเวลา และที่สำคัญมีความช่ำชองที่สุดกับเรื่องบนเตียง เฮ้ย.. ดูท่าความฝันคงไม่มีทางเป็นจริงได้! เพราะเรื่องจริงกับความฝันมันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน แน่นอนที่คุณจะต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ ต้องเผชิญกับความล้มเหลว ความเสียใจ แต่เชื่อเถอะในที่สุด คุณจะค่อย ๆ ยอมรับความจริงได้เอง

วิธีบำรุงชีวิตคู่ให้สุขสันต์

เลือก เวลาเหมาะ ๆ เพื่อใช้เป็นเวลาอันมีค่าสำหรับพูดคุยกับคนรักเกี่ยวกับชีวิตคู่ของคุณทั้งสอง หมั่นแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และความต้องการของคุณ แต่เฉพาะในแง่ดีและสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะมาต่อว่าหรือโต้เถียงกัน

กล้า ที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่เป็นตัวตนจริง ๆ ออกมา ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์แบบไหน (สนุกสนานเริงร่า เจ็บช้ำน้ำใจ เพ้อฝัน หรือแม้แต่เวลายินดีมีความสุข) โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ดีเลว และถูกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น

ค่อย พูดค่อยจากันด้วยภาษาดอกไม้ให้ฟังแล้วรื่นหู "ฉันชอบจังค่ะ เวลาที่คุณช่วยฉันล้างจาน" พูดอย่างไรก็ได้ให้คนฟังรู้สึกดี ๆ และไม่เป็นการจุดชนวนสงครามน้ำลายขึ้นกลางวง

ควร ให้มีการ "ขอเวลานอก" ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกอึดอัด หรือยังไม่พร้อมที่จะสนทนาในเรื่องนั้น ๆ ต่อ ก็สามารถ "ขอเวลานอก" ซึ่งอาจจะพักสักครู่หนึ่งหรือไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาซะ โดยไม่ต้องถามเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น เพราะเราจะรู้สึกสนุกกับการเล่าก็ต่อเมื่อเราสามารถเลือกเรื่องเลือกเวลาที่เราอยากเล่าได้

หัด ฟังคนอื่นเขาบ้างและต้องฟังอย่างตั้งใจด้วยว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร แล้วลองเช็คกลับไปด้วยการพูดทวนว่า ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องตามที่เขาพูดไหม จำไว้ว่า "เมื่อไรที่ไม่แน่ใจ ไม่เคลียร์ ให้ถามได้เลย! "

ความรักไม่เคยมีอดีต มีแต่ปัจจุบัน



ความรักไม่เคยมีอดีต มีแต่ปัจจุบัน

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ไม่มีใครไม่เคยมี "อดีต" เพราะ "อดีต" คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ แต่นำมาเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เราสามารถทำให้ "ปัจจุบัน" ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะกับ "ความรัก" ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรยึดติดกับ "อดีต" จนมันย้อนมาทำร้ายให้เจ็บปวด หากเรายังมัวแต่คิดถึงวันเก่า ๆ เราจะไม่ได้ก้าวไปสู่วันใหม่ ๆ ที่สดใสกว่า

แต่เชื่อว่าก็ยังมีอีกหลายคู่รัก มักหยิบยกเอาเรื่องราวในอดีตของกันและกันมาพูดถึง จนบางครั้งอาจเป็นสาเหตุในการทะเลาะเบาแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างเรื่อง "แฟนเก่า" ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ยังจะนำมาเป็นถกเถียง ประชดประชันกันได้เสมอ รวมไปถึงเรื่อง "ความผิด" ต่าง ๆ นานา เช่น นอกใจ, โกหก ฯลฯ ซึ่งถึงแม้จะให้อภัยกันไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นเรื่องที้ผ่านมานานแล้ว ก็ยังจะไปขุดคุ้ยให้เป็นประเด็นเ้สมอ

ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้รอยยิ้มจาก "อดีต" หากคุณทั้งคู่นำมันมาใช้อย่างไม่ถูกวิธี และนำมาเปื้อนกับ "ปัจจุบัน" ชีิวิตต้องอยู่กับ "ความจริง" คือ "วันนี้"..."เวลานี้" และ "วินาทีนี้"

"อดีต" เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าคุณมัวแต่ยึดติดกับมันก็เท่ากับทำร้ายตัวเองเปล่า ควรตัดสินกันและกันจาก "ปัจจุบัน" คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะ "ปัจจุบัน" คือความจริง ณ วินาทีนี้ เพราะฉะนั้น ต้องทำทุกวินาทีให้มีค่า และควรทำความรัก "วันนี้" ให้ดีที่สุด โดยนำ "อดีต"มาเป็นแค่บทเรียน เพื่อ "อนาคต" ที่ทำให้เรายิ้มได้ ^____^

4.02.2011

ดูแลความรักให้ยืดยาว



ดูแลความรักให้ยืดยาว

ความรัก...เมื่อก่อตัวขึ้นใช่ว่าจะจบลงอย่างสวยงาม เฉกเช่นนิยายหวานแหววโรแมนติกเสมอไป เพราะหากคู่รักไม่ทะนุถนอม เอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน ความหวานอาจแปรเปลี่ยนเป็นความขมระทมใจก็ได้ เพราะฉะนั้น ลองมาดูวิธีการดูแลรักษาความรักของคุณ ให้สวยสดงดงามเสมอกันดีกว่า...

ไม่ควรคาดหวังกับความรัก

เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ อย่าคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เพราะหากผิดหวังจะเสียใจเปล่า ๆ ทางที่ดีควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า และอย่าเขินที่จะบอกรัก เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าคุณจะบอกคำว่า "รัก" ให้กับคนที่คุณรู้สึกดีด้วย รวมถึงอย่าอายที่จะขอโทษ เพราะการขอโทษไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร

รู้จักที่จะใช้ภาษากาย

เพราะการสัมผัสร่างกาย เช่น จับมือ กอด รูปหลัง สามารถสื่อความในใจของเราได้ดีกว่าคำพูดหลายเท่าเชียว หรือจดจำรายละเอียด เช่น ชอบทำกิจกรรมอะไร ชอบรับประทานอะไร หรือชอบฟังเพลงแนวไหน แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

ซื่อสัตย์และไว้ใจกันซึ่งกันและกัน

อีกทั้งให้เกียรติกันและกันเสมอ ไม่ก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของกันและกันมากเกินจำเป็น อย่าทำให้เขารู้สึกว่าไม่สิทธิ์ที่จะทำอะไร การนึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ จะช่วยทำความคุณแคร์กันและกันมากขึ้น

ห้ามโกหก

เพราะจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก พูดกันตรง ๆ แต่ก็ต้องเลือกใช้คำที่ไม่ทำร้ายจิตใจ ที่สำคัญเมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความรัก นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เขาเคยทำให้เรา ความโกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบจะค่อย ๆ เบาบางลง

อย่าคาดคั้นหาคำตอบ

เพราะบางครั้งการที่เราดึงดันหาเหตุผล หาคำตอบ มันเป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากเราและเขาอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ลองถอยออกมา 1 ก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งคุณทั้งคู่จะพร้อม แล้วค่อยกลับมาคุยอีกครั้ง

ให้โอกาสและให้อภัย

ถ้าอีกฝ่ายทำอะไรผิดควรให้โอกาสในการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น แต่ถ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องเดิม ๆ ก็ไม่ควรให้โอกาสเขาจนทำให้เราเจ็บปวดซะเอง เพราะความรักจะงดงาม หากคุณรักตัวเองก่อนที่จะไปรักคนอื่น

ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ความรักของคุณยั้งยืนยาวนานแล้วล่ะค่ะ...^___^

5 ความคิดผิด ๆ ในการเลือกคู่ ที่พลาดกันอยู่บ่อย ๆ



5 ความคิดผิด ๆ ในการเลือกคู่ ที่พลาดกันอยู่บ่อย ๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดในเรื่องนี้อีก ลองใช้ความผิดพลาดที่พบกันบ่อยเหล่านี้ เป็นแนวทางในยามคบหาใครสักคน

1. รูปลักษณ์

กี่ครั้งกี่หนที่คุณแทบละลายเพราะผู้ชายรูปหล่อหน้าตาดี บ่อยเลยใช่ไหมล่ะ? ทำไมคุณถึงตกหลุมรักพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมคุณถึงได้วางเรื่องรักของคุณไว้บนพื้นฐานของหน้าตาล่ะ เราแน่ใจว่าสิ่งที่คุณต้องการจากคู่รักนั้น มากกว่ารูปร่างหน้าตาดี ๆ ของพวกเขาแน่ และถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นนายแบบหรือดารา รูปร่างหน้าตาไม่ได้ช่วยให้คุณมีเงินทองหรือความสุขได้หรอกนะ

2. เราเข้าใจว่าผู้หญิงชอบผู้ชายตัวสูง ๆ

เพราะรู้สึกว่าได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเขา อย่างไรก็ตาม ความสูงไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ใด ๆ เลยว่าเขาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร คุณคาดหวังจะได้อะไรจากผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่ชายรูปร่างเล็กหรือเตี้ยให้คุณไม่ได้ล่ะ เราบอกคุณได้เลยจากประสบการณ์ว่า ความสูงของผู้ชายไม่ได้เป็นตัวกำหนดหัวใจของเขา และหัวใจต่างหากที่จะบอกว่าผู้ชายเป็นคนดีแค่ไหน และเขาจะปฎิบัติต่อคุณดีเพียงใด

3. ศักยภาพ

อย่าเข้าใจผิดไป คนที่มีศักยภาพในตัวเต็มเปี่ยมถือว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เรากำลังพูดถึงก็คือ คุณไม่ควรเลือกคนคนหนึ่งจากศักยภาพของเขาแต่เพียงอย่างเดียว ศักยภาพเป็นเพียงคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเราเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนดี คุณจำเป็นต้องแยกแยะด้วยว่าเขามีคุณสมบัติอื่นใดอีกด้วยบ้าง มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะแยกแยะว่า คน ๆ นั้นตรงการความต้องการของคุณหรือเปล่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าอะไรที่คุณต้องการ คุณก็มีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ

4. ความมีอารมณ์ขัน

การมีคนซึ่งมีอารมณ์ขันและสนุกสนานอยู่ด้วย ทำให้ชีวิตของคุณดูจะง่าย ๆ สบาย ๆ ขึ้น การหัวเราะเป็นการเบี่ยงเบนตัวเองจากความวิตกกังวล และปัญหาต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคู่รักของคุณทำตัวตลกมากเกินไป และไม่อาจจริงจังกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ มันก็จะกลายเป็นปัญหา ซึ่งคุณไม่ต้องการอย่างแน่นอน การเน้นที่คุณสมบัติในเรื่องนี้มากเกินไป ในเมื่อคุณต้องการมากกว่านั้น จะนำคุณไปสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยปัญหา และความปวดเศียรเวียนเกล้า

5. ความตื่นเต้น

ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่คุณจะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่ดูน่าตื่นเต้น สนุกสนาน และมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยง ความพลุ่งพล่านที่คุณรู้สึก เมื่ออยู่กับพวกเขาเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ แต่คุณจะสามารถใช้ชีวิตที่ต็มมไปด้วยความตื่นเต้นเช่นนั้น ได้นานเท่าไหร่กันล่ะ? การแสวงหาคนที่จะให้ความตื่นเต้นแก่คุณทุกวัน อาจนำคุณไปสู่เส้นทางชีวิตที่ไร้ความรับผิดชอบ ลองนึกย้อนไปถึงคนในสมัยเรียน ที่ใช้ชีวิตน่าตื่นเต้นดูสิ เดี๋ยวนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง เราแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก

มันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องรับรู้ว่า คุณสมบัติบางอย่างของผู้ชาย ไม่เพียงพอที่จะสร้างชีวิตรักที่มีความสุข ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณ ลองมองดูเงื่อนไขที่คุณใช้เลือกคู่ของคุณดูสิ

7 นิสัยแย่ ๆ ที่ทำลายความสัมพันธ์ของคุณ



7 นิสัยแย่ ๆ ที่ทำลายความสัมพันธ์ของคุณ

แน่นอนว่าใน "ความสัมพันธ์" มักจะเกิดปัญหาได้ทุกเมื่อ ซึ่งนิสัยแย่ ๆ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในชีวิตรักของคุณได้เช่นกัน ลองไปดูกันซิว่า...คุณมีนิสัยแย่ ๆ ดังกล่าวหรือไม่ พร้อมแล้วมาเช็คดูกันเลย...

1. จู้จี้จุกจิก

ใครจะอยากอยู่ร่วมกับคนจู้จี้จุกจิกล่ะ...จริงไหม?? คุณผู้ชายและคุณผู้หญิงอาจจะทำลายความสัมพันธ์โดยที่ไม่รู้ตัว แต่หากคุณมีคู่ครองที่เป็นพวกขี้ลืมละก็ คุณอาจจะใช้วิธีแปะ Post-it เอาไว้เพื่อเตือนความจำดีกว่านะ

2. พึ่งตัวเองมากเกินไป

แน่นอนว่าสมัยนี้ผู้หญิงพึ่งพาตัวเองได้ และไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ กับ “ความรัก” คุณควรต้องการซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย เพราะหากผู้หญิงจะผลักไสคู่ครองของคุณออกไปด้วยทัศนคติที่ว่า “ฉันทำเองได้” คู่ของคุณอาจจะรู้สึกเป็นคนไร้ค่าและจากคุณไปก็ได้

3. ช่างตำหนิ

ไม่ใช่เรื่องผิดเลยหากคุณจะตำหนิในสิ่งเล็ก ๆน้อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่มากจนถึงขนาดตำหนิไปซะทุกอย่าง ทางที่ดีคุณควรเปลี่ยนมายอมรับในสิ่ง “ผิดพลาด” ของคู่ครองคุณ เพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบหรอก

4. เอาแต่ใจตัวเอง

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าความคิดของใครดีกว่ากัน แต่อยู่ที่ความเท่าเทียมกันในการตัดสินใจ ซึ่งทั้งคุณและคู่ครองควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจพอ ๆ กัน

5. ต้องให้ทางเลือกบ้าง

วิธีปราบแฟนหัวดื้อก็คือ คุณต้องทำให้เขารู้สึกว่าต้องการคำแนะนำ และปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ แต่หากเขาต้องการความช่วยเหลือละก็.. คุณถึงค่อยเข้าไปแสดงให้เห็นว่าต้องทำอย่างไร

6. ทำให้ตัวเองดูสวยอยู่เสมอ

ถึงแม้ว่าคุณจะแต่งงานมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจรูปลักษณ์ของคุณเลย ไม่ว่าคุณจะแต่งงานมานานขนาดไหน คุณก็ควรจะทำให้ตัวเองดูสวยอยู่เสมอ หรืออย่างน้อยที่สุดก็หวีผมบ้าง แต่งตัวบ้าง ดีกว่าที่จะปล่อยให้ตัวเอง ดูเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอนตลอดเวลาอย่างงั้นแหละ

7. ไม่ฟังใครเลย

ผู้ชายน่ะดูเหมือนจะเข้มแข็ง แต่เขาก็อ่อนไหวเหมือนกันนะ บางครั้งผู้หญิงอาจจะลืมไปว่าเราก็ต้องฟังหนุ่ม ๆ ของเราด้วยเช่นกัน ลองเปิดใจรับฟังสิ่งที่ผู้ชายอยากจะพูด ใครจะเชื่อล่ะว่า คุณอาจจะได้รับรู้สิ่งใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้นก็ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเป็นสิ่งที่เปราะบาง ความผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจกระทบความสัมพันธ์ได้อย่างมากมาย ทางที่ดีคุณควรจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของคุณและคู่รักให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ "ความรัก" ของคุณก็จะสวยงามเสมอ

10 นิสัยแย่ ๆ ที่อาจเก็บคุณให้เป็นโสดไปตลอดกาล


10 นิสัยแย่ ๆ ที่อาจเก็บคุณให้เป็นโสดไปตลอดกาล


หลาย ๆ คนคงอาจสงสัย เอ๊... ทำไมฉันถึงไม่มีแฟนสักที หรือ ทำไมที่มีอยู่ถึงมาขอเลิกราไปซะอย่างนั้น วันนี้ กระปุกดอทคอมจะขออาสามาไขปัญหาหัวใจให้ ว่าพฤติกรรมแบบไหน ที่อาจเก็บคุณให้เป็นโสดไปตลอดกาล

ไม่มีความรับผิดชอบ หากคุณเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ มันจะเป็นหลุมพรางชั้นดีที่จะทำให้คุณก้าวตกลงไปสู่ห้วงความโสด คู่รักหลายคู่มีเหตุต้องระหองระแหงกัน เพราะการไม่รับผิดชอบคำพูดของแต่ละฝ่ายนั่นเอง

ฉันคือช้างเท้าหน้า มันก็เป็นการดีที่เรารู้จักเป็นผู้นำ แต่ในชีวิตรัก บางครั้งคำว่า "นำหน้า" ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นคำว่า "เอาแต่ใจ" ต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ เข้าใจนะคะ ว่าก่อนจะรักใครได้ ต้องรู้จักรักตัวเองให้เป็น แต่ถ้ารักตัวเองมากเกินความจำเป็น มันก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัวได้ และยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ในที่สุด

พยายามลงจากคานอย่างยิ่งยวด เคยได้ยินไหมคะว่า ความรัก หากเรายิ่งวิ่งเข้าหา มันจะยิ่งวิ่งหนี อยู่เฉย ๆ บางที ความรักก็เข้ามาหาเราเอง เพราะฉะนั้น ทำอะไรให้พอดีค่ะ เข้าใจว่าเหงา อยากมีคู่ อารมณ์แบบคนมีคู่ไม่รู้หรอกที่คุณอยากจะสลัดออกไป มันต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ผลีผลามไป ก็อาจจบเกมส์ทันทีนะคะ ^^

สิ้นหวังหมดสิ้นหนทาง ข้อนี้แอบคล้ายข้อ "พยายามลงจากคานอย่างยิ่งยวด" อยู่ไม่น้อย แต่อันนี้จะเป็นกรณีที่ว่า มีใครเข้ามาก็คว้าไปหมด ไม่รู้หรอกว่าตัวเองรักหรือไม่ ขอแค่มีใครสักคนขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนด้วยตลอดเวลาเท่านั้นเป็นพอ ทำให้ไม่เจอคนที่ "ใช่" เสียที อย่าเอาความกดดันที่ต้องหาคู่ แต่งงาน และมีลูกมามมีส่วนในการตัดสินใจเลือกใครสักคนเข้ามาในชีวิต อย่างนี้ไม่ดีกับสภาวะหัวใจในระยะยาวแน่นอนค่ะ มีแนวโน้มเลิกรากันสูง เริ่มต้นด้วยไม่ได้รัก จะจบลงด้วยรักได้อย่างไรจริงไหมคะ ดังนั้น พยายามทำทุกอย่างอย่างรอบคอบและช้า ๆ แล้วหาความสนุกให้ขีวิตบ้าง

ไร้ซึ่งความมั่นใจในตัวเอง หากคุณไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วใครจะมามั่นใจในตัวคุณใช่ไหมคะ คนที่ไร้ซึ่งความมั่นใจในตัวเอง มักจะมีพฤติกรรมนอยด์เสมอ ๆ ทำให้คนรอบข้างก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ คุณต้องมั่นใจในตัวเอง ใช้ชีวิตให้มีความสุข แค่นี้ความรักดี ๆ ก็ไม่หนีไปไหนไกลหรอก จริงไหมคะ

ไม่สามารถลืมแฟนเก่าได้ หากคุณยังเอาแฟนเก่าของคุณ มาวนเวียนอยู่ในทุกจังหวะชีวิตของรักครั้งใหม่ คุณก็เตรียมตัวนับถอยหลังสู่ชีวิตโสดได้เลยค่ะ น้อยคนมากที่จะทนได้ หากคุณยังไม่ลืมคนรักเก่าไปจากหัวใจ ชีวิตต้องก้าวเดินหน้าต่อไป อะไรที่มันเป็นเรื่องเสียใจในอดีต เก็บเอามาเป็นบทเรียนได้ แต่อย่าเอามาพัวพันในชีวิตรักครั้งใหม่ค่ะ

ขี้โกง, เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน แน่ล่ะใครจะชอบให้คนอื่นมาเอารัดเอาเปรียบเรา แรก ๆ ก็อาจจะพอรับได้ แต่ถ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัยละก็ เตรียมรอเป็นโสดได้เลย

โกหก โห! อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเลยค่ะ ใคร ๆ ก็ไม่ชอบให้คนรักมาโกหกเรา ถึงจะอ้างว่าโกหกเพื่อความสบายใจก็ตาม แต่ถ้าวันนึงเขาหรือเธอคนนั้นรู้ความจริงขึ้นมาล่ะ มันจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่าเดิมหรือ??

คิดอะไรตื้น ๆ หากคุณเป็นคนคิดอะไรตื้น ๆ และฝืนใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้แล้วล่ะก็ คุณก็มีสิทธิ์ตกอยู่ในวังวนของความโสดอย่างแน่นอนค่ะ เพราะการคิดไม่เยอะของคุณ อาจทำให้การเดทไม่ประทับใจ และไม่มีใครอยากมาเดทกับคุณรอบสองแน่ ๆ

สุดท้ายท้ายสุด คือความขี้อายของคุณนั่นเองค่ะ ความขี้อายอาจทำให้เริ่มความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ยากพอควรเลยแหละ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่กล้าทำอะไรมากเพราะกลัวคุณจะเขินจะอาย จะเข้าใกล้ทีนึงก็เขินแล้วเขินอีก จนเขาเป็นฝ่ายอึดอัดจนต้องยอมเดินจากคุณไป แม้จะรักแค่ไหนก็ตามค่ะ

มาถึงบรรทัดนี้แล้ว เพื่อน ๆ คนโสดคนไหนมีนิสัยตามที่กล่าวด้านบนบ้างไหมคะ ถ้ามีก็ลองปรับปรุงตัวดูนะ จะได้ไม่เป็นโสดจนหนาวใจ "^_^"

ทะเลาะกัน...ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก



ทะเลาะกัน...ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก


เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ "ชีวิตรัก" หรือแม้แต่ "ชีวิตคู่" จะต้องพบเจอกับปัญหา "ความไม่เข้าใจ" ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการทะเลาะเบาะแว้ง เพราะการขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดาของ "ความรัก"

แต่บางครั้งการทะเลาะโดยที่มุ่งเน้นจะหาแต่ "คนผิด" โดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว รังแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งแบบไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงการจับผิดรายละเอียดเล็กน้อย หรือเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ทางที่ดีก่อนจะเริ่มทะเลาะ ให้สำรวจอารมณ์ของตัวเองก่อน เพราะอารมณ์ในยามทะเลาะกัน ต่างฝ่ายต่างชอบขุดคุ้ยเอาเรื่องอดีตชาติขึ้นมาพูด แถมยังชอบสาดถ้อยคำดุเด็ดเผ็ดร้อนออกมาโต้ตอบกัน อีกทั้งยังชอบหาเรื่องมาพูดเพื่อร้ายจิตใจของกันและกัน ดังนั้น การสำรวจและระงับอารมณ์ตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

และหากเปลี่ยนจากความคิดที่จะทะเลาะ มาเป็นร่วมกันหาสาเหตุของความขัดแย้ง และหาทางยุติเพื่อคลี่คลายปัญหาไปในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญต่างฝ่ายต่างมองโลกในแง่ดีว่าปัญหาอย่างมีทางออกเสมอ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหา เพื่อก้าวผ่านอุปสรรคที่เข้ามาได้

แต่ถ้าลองทำทุกวิธีแล้ว ก็ยังทะเลาะกันอยู่ คงถึงเวลาแล้วล่ะ...ที่คุณทั้งคู่ควรจะหันหลังให้กันสักพัก เพื่อไปตรองดูว่าสาเหตุของปัญหาจริง ๆ คืออะไร แยกย้ายไปสงบจิตสงบใจสักพัก อารมณ์เย็นลงเมื่อไหร่ค่อยมาปรับความเข้าใจกันใหม่ ท่องไว้ว่า "ความเห็นต่าง" หรือ "ทะเลาะกัน" ไม่ได้หมายความว่า "ไม่รักกัน"

คนที่ใช่...อาจไม่ใช่คนที่หัวใจรัก



คนที่ใช่...อาจไม่ใช่คนที่หัวใจรัก

การพบกันครั้งแรกแล้วเกิดอาการ "ตกหลุมรัก" ไม่ได้หมายความว่า "เรารักเขา" เราแค่ชอบเขา ในแบบที่เราคิดว่าเขาน่าจะ "ใช่" สำหรับเรา เพราะมันมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ก่อนจะรู้สึกได้ว่า "รัก" เมื่อคนสองคนได้พบเจอกัน

เป็นไปไม่ได้หรอกว่าจะ "รัก" กันได้ตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่าจะมีคำที่ใช้กับอาการแบบนี้ว่า "ตกหลุมรัก" แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้เรียกว่า "รัก" หรอก มันสมควรจะเรียกว่าความ "ชอบ" มากกว่า เมื่อมีความชอบ ความถูกใจในฝ่ายตรงข้าม ความสัมพันธ์ที่มากขึ้นก็พัฒนาไปเป็นความรัก เมื่อความรักเกิดขึ้น ก็มีความผูกพันตามมา เป็นวัฏจักรของความรัก ที่ทุกชีวิตล้วนต้องเจอ

บางคน...พอได้เรียนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่าย กลับไม่เป็นไปตามที่ใจคิด รูปลักษณ์นอกกายต่างจากจิตใจภายใน บางคน...โชคดีได้เจอคนที่ใช่และชอบ ตรงตามที่ฝันไว้ เป็นคนรักในอุดมคติ ในที่สุดความรู้สึก "รัก" ก็ก่อตัวอย่างเต็มรูปแบบ...แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า ไม่มีใครดีพร้อมในตัวไปหมดทุกอย่าง

เราเริ่มรักเขา แต่ขณะเดียวกัน เขาอาจจะแค่ "ชอบ" เราอยู่ก็ได้ เราคิดว่าตัวเรา "ดี" สำหรับเขาแล้ว แต่ก็ย่อมมีคนที่ "ดีกว่า" เราอีกหลายคน คนบางคนรักกันได้ แต่ไม่ได้รู้สึกชอบตั้งแต่แรกเห็น อาจจะพัฒนามาจากความเป็นเพื่อน บางคนพัฒนามาจากคนรู้จัก ที่พูดคุยกันแทบนับคำได้

เห็นไหม...ความรักต้องใช้ระยะเวลา ในการเจริญงอกงาม ดังนั้น...ถ้าเราพบเจอใครที่คิดว่า "ใช่" อย่าเพิ่งรีบใส่คำว่า "รัก" ในหัวใจของเราเลย เพราะนิสัยใจคอของเขา เราเองก็ยังไม่รู้จักดีพอ ค่อย ๆ ใช้เวลาพูดคุย ทำความรู้จัก และเรียนรู้กันไปดีกว่า เพราะหากถึงวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่า "เขายังไม่ใช่" และเขาก็รู้สึกกับเราเหมือนกันว่า "เรายังไม่ใช่" คำว่า "ลาจาก" จะได้ไม่ทำให้เราเจ็บปวดมากนัก

ถ้าความรักเกิดขึ้นง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น ๆ โลกนี้คงมีแต่คนสมหวังในความรักเต็มไปหมด และความรักก็คงไม่ใช่สิ่งที่สวยงามและน่าค้นหาอีกต่อไป "ความรัก" ต้องอาศัยกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

อย่าเสียเวลา...กับคนที่ไม่ใช่



อย่าเสียเวลา...กับคนที่ไม่ใช่

เคยมีคนบอกว่า...อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่ใช่ เพราะมันเหมือนการตำพริกละลายแม่น้ำ คือ เสียเวลาทำในสิ่งที่เปล่าประโยชน์ แถมใจก็ไม่มีความสุข

หากลองคบหาดูใจ เรียนรู้กันและกันแล้ว จู่ ๆ กลับเกิดความรู้สึก "ไม่ใช่" ทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มเป็นแฟนกันใหม่ ๆ อะไร ๆ ก็ดี อะไร ๆ ก็สวยงาม แต่พอกาลเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่ใช่ก็โผล่ขึ้นมาทั้งทาย มันคงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราควรหันมามองคนที่ใช่กันดีกว่า เพราะหากเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ ก็อย่าฝืนทนคบไปเรื่อย ๆ ยิ่งการทนอยู่เพราะ "เขารักเรา" ทั้ง ๆ ที่คุณเองเริ่มรู้สึกว่า "เขาไม่ใช่" ซะแล้ว บางทีคุณอาจทำร้ายเขาไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้

ถึงแม้ว่า "ความรัก" ออกแบบไม่ได้ เพราะคนที่เรารู้สึกใช่เขากลับวิ่งหนี แต่คนที่ไม่ใช่เขาคอยวิ่งตามเราเสมอ แต่เราสามารถทำมันให้สมบูรณ์แบบได้ เพราะความรักเปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ หากเราหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในพื้นที่ที่เหมาะสม มันจะงอกงามสดใส แต่ถ้าเราพยายามหว่านอย่างตั้งใจในพื้นที่ที่ไม่เหมาะ ยังไง ๆ มันก็คงไม่เติบโตงดงามอย่างใจหวัง

ที่สำคัญ "ความรัก" เป็นสิ่งมีค่า เพราะฉะนั้น อย่ามัวเสียเวลากับคนที่ไม่ใช่ เพราะมันอาจทำให้ "คนที่ใช่" เดินผ่านเราไปแบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ และอย่าเก็บเอาความทรงจำในอดีตที่แสนงดงาม มาบดบังความจริงในใจของตัวเรา

ลองถามใจตัวเอง พร้อม ๆ กับฟังเสียงของหัวใจตัวเองอีกสักครั้งว่า "เรายังรักเขาอยู่หรือเปล่า" และ "เขายังเป็นคนที่ใช่สำหรับเราอยู่หรือเปล่า" ถ้าหาคำตอบให้กับหัวใจได้แล้ว ก็เดินหน้าลุยต่อเลย แต่หากอยากพบรักที่มั่นคงและมีความสุข ควรเลือกคนที่ "พอดี" และ "เข้ากันดี" กับตัวเรา

ยิ่งคบยิ่งเหนื่อย ยิ่งพูดเหมือนยิ่งไม่เข้าใจ



ยิ่งคบยิ่งเหนื่อย ยิ่งพูดเหมือนยิ่งไม่เข้าใจ

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเดิม ๆ

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับการกระทำของเขา

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับคำพูดบางคำของเขา

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับความขี้หึง ขี้ระแวงของเขา

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับความเจ้าชู้ไม่สิ้นสุดของเขา

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับคำโกหกคำโต ที่มักแวะเวียนมาหาคุณเสมอ

เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับความคาดหวังที่มากเกินไปของตัวเอง

และ...เคยไหม...ที่คุณรู้สึกเหนื่อยใจกับความรักของตัวเอง


ถ้าคุณเคยรู้สึกเหนื่อยใจเพียงแค่ 1 ใน 3 ของคำถาม ก็คงได้เวลาแล้วล่ะ ที่คุณจะลองหันมาพิจารณาถึง "ความสัมพันธ์" ของคุณทั้งคู่ ลองหันหน้ามาคุยกันเกี่ยวกับความเหนื่อยใจของแต่ละคน เพราะบางทีการเก็บความรู้สึก โดยไม่เปิดเผยออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า ณ ตอนนี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่ มันก็เหมือนกับการอดทนอดกลั้นที่เปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่มีทางมารับรู้ได้เลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร ในทางกลับกันคุณก็ไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรเหมือนกัน แต่ต้องคุยกันด้วยเหตุผล ยอมวางอารมณ์เก็บไว้ แล้วงัดเอาเหตุผลมาแชร์กัน

ซึ่งถ้าได้คุยกันแล้ว ทะเลาะกันก็แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันยังไม่ดีขึ้น คุณทั้งคู่ยังคงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการคบหา ทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกรักกันอยู่ ทางออกที่ดีที่สุดคือ "ถอยออกมาคนละก้าว" เพื่อย้อนกลับมาสำรวจตัวเองกันอีกสักครา หันไปอยู่กับตัวเองกันสักพัก ลองไปใช้ชีวิตที่ไม่มีกันและกันดูสิว่า คุณทั้งคู่ยังรู้สึก "เหนื่อยใจ" ... "คิดถึง" หรือ "สบายใจ" กันแน่!

ถ้าความรักของเราที่ยังมีให้กันและกันยังมั่นคง และเต็มล้นอยู่หัวใจ ความรู้สึกจะบอกเราเองว่าควรหันหน้าเข้าหากัน แต่ถ้ามันรู้สึกว่า "ผูกพัน" มันไม่ใช่ "ความรัก" ก็อย่าทนฝืนจูงมือกันเดินต่อไปเลย เพราะต่างคนต่างทรมาน ต่างคนต่างเหนื่อย ต่างคนต่างไม่เข้าใจกันและกันซะที มันทำให้ใจของเรายิ่งล้า ยอมเจ็บตอนนี้ดีกว่า สร้างความผูกพันให้มันหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

....อย่าตั้งความหวังสูงกับความรัก คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชีวิตคู่